วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ริ้วรอยน่ะเหรอ....จัดการได้ง่ายนิดเดียว

ริ้วรอยน่ะเหรอ....จัดการได้ง่ายนิดเดียว

อุ๊ยตายว้ายกรี๊ด...อกอิฉันจะแตกค่า คุณขา หลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วส่องกระจกพบว่า "กา กา กา บินร้อง กา กา ออกมาหากิน" ใช่ค่ะ รอยอีกามาเยือนอิฉันซะแล้ว...ว่าไปก็สมควรอยู่หรอกค่ะ ก็อายุปาเข้าไปเลขสามฝ่าๆแล้ว เฮ้อ พยายามจะคิดแค่ว่ายุบหนอ พองหนอ จะได้ไม่ต้องไปกังวลกับมันมาก แต่ก็อดไม่ได้จริงๆค่ะ แบบว่ายอมไม่ได้จริงๆ ไอ้เรื่องไม่สวยหรือเรื่องแก่ๆ เนี๊ยะ ฟังแล้วแสลงหู ยอมตายเสียดีกว่ายอมแก่ค่ะ

กลัวแก่ขึ้นสมองอย่างอิฉัน ก็ต้องหาวิธีการหรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะยืดอายุความสาวไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ที่จริงก็ทำมาทุกวิธีแล้วนะคะแบบไหนที่เค้าว่าดีกัน ลองมาหมดแล้วค่ะ และก็เห็นผลนะคะ เลยอยากนำมาฝากกันค่ะ

เริ่มจากการดื่มน้ำ ดื่มเข้าไปเยอะๆ เลย เห็นผลจริงๆ เพราะวันไหนที่ดื่มน้ำเยอะ เห็นชัดว่าริมฝีปากจะไม่แห้ง ไม่ลอก แต่งน้ำแล้วหน้านิ่มๆตึงๆ ด้วย แต่ขอบอกว่าต้องเป็นน้ำเปล่านะค่ะ เซย์โนไปเลยกับน้ำอัดลม เพราะน้ำอัดลมไม่มีคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใดเลยค่ะ(ในแง่ของวิตามิน และแร่ธาตุ) แต่จะมีส่วนผสมของน้ำตาลสูง มีกรดสูงมาก และมีสารปรุงแต่งจำพวกวัตถุกันเสีย เช่น โซเดียม เบนโซเอท ที่ได้มาจากกรดเบนโซอิค (Bensoic acid) ซึ่งเป็นกรดที่พบได้ในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ (พวกมะเม่าในบ้านเรา) แต่กรดถูกนำมาใช้จำนวนมากเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องดื่มขึ้นรา เมื่อโซเดียม เบนโซเอท ผสมกับวิตามินซี ที่เติมในน้ำอัดลม เมื่อทำปฏิกิริยากันจะได้ "เบนซิน" (Benzene) ซึ่งเป็นตัวก่อมะเร็งดีๆนี่เองค่ะ

นอกจากการดื่มน้ำแล้ว การออกกำลังกายก็สำคัญ เห็นได้ชัดว่าจากตัวอิฉันเองนี่แหละค่ะ เนื่องจากเป็นคนผอมค่ะเลยไม่ค่อยสนใจเรื่องการออกกำลังกายเท่าไหร่ แต่ต้องไปส่งคุณแม่ที่ฟิตเนสบ่อยๆ เข้าก็เลย เอ้าลองเสียหน่อย ปรากฏว่าได้ผลค่ะ เพราะแค่ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพียงไม่กี่เดือน หน้าใสดูมีเลือดฝาดขึ้นมาทันทีสิวอักเสบที่เคยเป็นๆหายๆในวัยสามสิบกว่าๆนั้นก็ลดลงแถมอาการปวดท้องประจำเดือนทุกเดือนชนิดที่ว่าต้องหามส่งโรงหมอฉีดยากันเลยนั้น ก็หายเป็นปลิดทิ้ง อาการครั่นเนื้อครั่นตัว ก่อนประจำเดือนจะมานั้นก็หายไป แถมาตรงเวลานับวันได้เลยค่ะว่า เดือนหน้าประจำเดือนจะมาวันที่เท่าไหร่ ประโยชน์ของการออกกำลังกายเนี้ยะมันเยอะจริงๆค่ะที่สำคัญสุขภาพดีแล้วส่งผลถึงผิวพรรณที่เปล่งปลั่ง ลดอายุไปได้เยอะทีเดียว

และเมื่อออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จนรู้สึกได้เองว่าสุขภาพดีแล้ว เรื่องต่อมาที่มักสัมพันธ์กันคือ การนอนหลับสบายหลับสนิทตลอดคืน โดยไม่ตื่นเพราะความเปียกชื้น.... 555 ก็หมดไป

ง่ายๆแค่ 3 อย่างที่ว่ามา ก็ส่งผลกับใบหน้าที่อ่อนเยาว์และยืดความแก่ ไปได้แล้ว อ๊ะๆๆ แต่สาวๆ อย่างเราก็ต้องไม่ลืมเครื่องประทินโฉม อย่างครีมบำรุงผิวด้วยนะคะ สำคัญไม่แพ้การปฏิบัติตัวที่กล่าวมาทั้งหมดเลยละ โดยเฉพาะสาววัยอย่างดิฉันแล้วผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยลดริ้วรอยและเติมความชุ่มชื้น ดูจะเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นทีเดียว

สำหรับสาววัยเริ่มมีริ้วรอยนั้นไม่มีอะไรดีไปกว่า ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยนั่นแหละค่ะ

คราวก่อนเพิ่งไปเจอครีมตัวหนึ่งมา และได้ลองซื้อมาใช้กับตัวเอง ตอนนี้ใช้มาได้ไม่กี่วันเองค่ะ ตอนแรกที่พนักงานสาธิตให้ดูก็ประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว เลยลองซื้อมาใช้

คุณสมบัติที่สำคัญที่ทำให้สาว ขี้ (งก) อย่างดิฉันถึงกับยอมควักกระเป๋าจ่ายอย่างง่ายดาย คือ Instant Deep Wrinkle Filler แปลเป็นไทยง่ายๆว่า ก็คือ เป็นครีมที่ช่วยลดริ้วรอยร่องลึกแบบทันทีทันใด ๆไม่ว่าจะเป็นระหว่างคิ้ว ใต้ตา ร่องลึก ร่องแก้ม ทาปุ๊ป รอยเหี่ยวหายวับ เหมาะสำหรับใช้ก่อนแต่งหน้า แถมยังมีคุณสมบัติเพิ่มเติมสามารถใช้เป็น Pre Makeup base และใช้เติมระหว่างวันได้ด้วย สรุปง่ายๆ ก็คือคล้ายๆ กับ Makeup base ที่ช่วยกลบร่องลึกนั่นเองเพียงแต่ว่าเจ้าตัวนี้ถ้าใช้ต่อเนื่องก็สามารถจัดอยู่ในกลุ่ม Skincare เค้าว่าหลังจากทาแล้วเนี่ย ริ้วรอยต่างๆ จะตื้นขึ้นประมาณ 68 % กันเลยที่เดียวแต่ก็ใช่ว่าประสิทธิภาพจะมีแค่ช่วงที่ทานะ เค้าว่าถ้ายิ่งทาต่อเนื่องกันเนี่ยริ้วรอยก็จะค่อยๆตื้นขึ้นด้วย

ไหนลองดูสิว่า มันจะทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นได้อย่างไรกัน ตามที่หาข้อมูลเพิ่มความอยากได้ให้กับตัวเองเค้าว่า มันประกอบไปด้วยสารสกัดจากพืช ที่จะช่วยผ่อนคลายอารมณ์กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ เช่น รอยตีนกาแลดูลดลง และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ทำให้ผิวแลดูเปล่งปลั่งเนียนเรียบยิ่งขึ้น และยังมีส่วนผสมจากเพ็บไทด์(Peptide) ชนิดหนึ่งที่จะไปทำให้ผิวของเราเสริมสร้างคอลลาเจนโดยธรรมชาติ และช่วยริ้วรอยบนผิวหน้า ซึ่งจะช่วยเตรียมผิวให้พร้อมที่จะทำงานฟื้นสภาพผิวตามธรรมชาติและให้ริ้วรอยที่มองเห็นได้ดูลดลงเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง

ฟังดูดีมากๆเลยค่ะ และยิ่งได้ใช้ ก็ยิ่งชอบ ริ้วรอยหายไปทันตาจริงๆ อย่างน้อยก็ช่วยลดอายุไปได้บ้างแหละค่ะ แต่อย่าลืมใช้ร่วมกับเคล็ดลับที่แนะนำไว้ตอนต้นด้วยนะคะ รับรอง สวยเด้งเลยค่ะ คอนเฟิร์ม

7 ลุคสวยของผู้หญิง ที่ผู้ชายเห็นแล้ว...สยอง

7 ลุคสวยของผู้หญิง ที่ผู้ชายเห็นแล้ว...สยอง


ผู้หญิงเรามักคิดว่า ลิปส์สีเข้ม กรีดอายไลเนอร์ และทรงผมกระเซิงนิดๆ จะดูเซ็กซี่ แต่ตามจริงแล้วในมุมมองคุณผู้ชายเค้ามองว่า มันกลายเป็น ลุคสยอง มากกว่า !!! และนี่คือ 7 ลุค ที่เรา นำมาบอกต่อกับคุณ



ทรงผม ฟู่ฟ่า
ช่วงเวลาเซ็กซี่สุดๆ ของผู้หญิง คือเมื่อยามที่ผู้ชาย ใช้นิ้วไล้ สยายผมคุณลงมา ลองนึกถึงโฆษณาแชมพูสระผมดูสิคะ อย่างนั้นล่ะค่ะ ไม่ต่างกัน เพราะฉะนั้น ทั้งการทำไฮไลท์สีผม การฉีดสเปรย์ หรือแม้แต่การยืดผม ก็ Just Say No !!! ไปได้เลยค่ะ คุณผู้ชาย บอกว่า ชอบคุณผู้หญิงที่ปล่อยให้ผมสวยตามธรรมชาติมากกว่าการที่คุณผู้หญิงจะมาเติมแต่งอะไรมากมาย ตีโป่ง ประดับประดาซะ...เยอะค่ะ

โบกหน้าหนาเตอะ
ผู้หญิงเราอาจมองหาลุคสวยที่เพอร์เฟ็คท์ที่สุด พยายามปกปิดริ้วรอย จุดด่างดำ ให้หน้าดูเนียนเด้ง แต่ยิ่งพยายามให้เนียน หน้าก็จะยิ่งหนา ทั้งรองพื้น ทั้งแป้ง ทั้งโปะ ทั้งตบ จนคุณผู้ชายทั้งหลายเค้าบอกว่า อยากจะล้างมันออกให้หมดเพราะอยากรู้จริงๆ ว่า ภายใต้หน้ากากหนาเตอะนั้นน่ะ มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผู้ชายอยากจะบอกกับเราก็คือ " ลืมไปเลยว่าต้องปกปิดอะไร แต่ให้ผิวหน้าคุณหายใจบ้างเถอะ "

กรงเล็บ นางมาร !!!
คุณผู้ชายจะขนลุกด้วยความสยองเวลาที่เล็บยาวๆ ของคุณ เกาะจิกแขนล่ำๆ ของเค้า ยามคุณควงแขนอ้อนเค้า แค่ตัดเล็มให้สั้นกำลังดี เวลาคุณจะกอด หรือจะควงแขนเค้า จะได้ไม่ดูเป็นนางมาร ในความรู้สึกของเค้าค่ะ

เขียนคิ้วเส้นบางเฉียบ อย่างกะ ผ้าอนามัย Super Slim
อันนี้อย่าว่าแต่คุณผู้ชายจะรู้สึก เป็นผู้หญิงด้วยกันยังรู้สึกเลยค่ะ ว่ามันน่ากลัว !!! เอาเป็นว่า เขียนไล้ตามแนวโค้งของคิ้วให้พอดีๆ ดีกว่า ไม่งั้นคงน่าสยองน่าดู

บล็อคตาเป็นคลีโอพัตรา
คุณไม่ใช่ อลิซาเบธ เทเลอร์ และคุณก็ไม่ใช่คลีโอพัตรา จะมาบล็อคตาทั้งเบ้า เพื่อเดินช็อปปิ้ง ก็กระไรอยู่ แค่แต่งตานิดหน่อยเพื่อให้มีสีสันก็พอ...

ผิวไหม้เกิน สีแทน (แทนที่จะสวย !!!)
ผู้ชาย หรือ ผู้หญิงคนไทยคนไหนก็ไม่ชอบทั้งนั้นล่ะค่ะ กลัวดำกันทั้งนั้น !!! แต่ก็ใช่ว่าแค่ผู้ชายไทยที่กลัว พ่อหนุ่มตาน้ำข้าวที่ชอบมาอาบแดดนักหนาในไทยยังบอกเลยว่า ไม่ชอบหญิงผิวสีแทน ... แทนที่จะสวย เพราะอาบแดดซะจนไหม้เกิน เอาให้พอส้ม ๆ หน่อย เค้ายังรับได้มากกว่า เพราะว่าดูเป็นธรรมชาติค่ะ

ปากวาวยังกับไปทานข้าวมันไก่
ผู้ชายรับได้นะคะ สำหรับลิปกลอสส์ แต่ถ้าทาทั่วปาก จนวาวเกินเหมือนไปทานข้าวมันไก่มา เค้าก็รับไม่ได้ค่ะ เค้าอยากให้เราใช้ Stain lips หรือ ลิปสติกเนื้อด้านเวลาจะไปเดทกับเค้า เค้าว่า มองแล้วสบายตากว่าเยอะ เพราะจูบไม่ลงจริงๆ

เนรมิตขาคู่สวยให้เรียบเนียนได้ ใน 5 นาที

เนรมิตขาคู่สวยให้เรียบเนียนได้ ใน 5 นาที

ร้อนๆ อย่างนี้ สาวๆ บ้านเรารู้อยู่แล้วว่าเสื้อกล้าม-กางเกงขาสั้น จะกลายเป็นสูตรสำเร็จของการแต่งตัวรับซัมเมอร์ หลายคนเตรียมกางเกงขาสั้นสวยๆ ไว้เต็มตู้ กะว่าร้อนนี้มีเกิด...แต่หลายครั้งหลายคนก็พลั้งเผลอลืมใส่ใจเรียวขาของตัวเองว่า "ไหวมั้ย" บางคนก็มีขนขายาวเกินไปดูไม่เกลี้ยงเกลา บางคนก็มีริ้วรอยหรือหัวเข่าดำดูไม่ชวนมอง...ใครเห็นก็คงต้องเดาไปถึงไหนต่อไหนว่าคุณสาวๆ ขาลายเพราะไม่ใส่ใจตัวเอง

ทิปส์เตรียมพร้อมสวยท้าแดดท้าลมรับซัมเมอร์ยังมีมานำเสนอไม่ขาด วันี้เราจึงมาว่ากันด้วยเรื่องของขาคู่สวยสำหรับสาวๆ นุ่งสั้นที่ต้องการอวดเรียวขาอย่างมั่นใจ ไม่ให้ใครแอบเมาท์ว่าเป็นสาวขาลาย ด้วยขั้นตอนง่ายๆ แต่ได้ผลภายใน 5 นาที...

1. ข้อนี้สาวๆ ขาเกลี้ยงไร้ขนข้ามไปได้ แต่สาวๆ ขนดกทั้งหลายที่ไม่ค่อยจะแฮปปี้กับขนขาที่ดกมาแต่กำเนิด สำหรับเวลาภายใน 5 นาที แน่นอนว่ามันไม่มากพอที่คุณจะคิดถึงเรื่องเลเซอร์กำจัดขน การโกน จึงยังคงเป็นทางเลือกชนิดเร่งด่วนที่จะช่วยคุณได้ คุณสาวๆ สมัยนี้สบายที่มีทั้งครีมขจัดขนให้เลือกหลายยี่ห้อ รวมถึงชุดกำจัดขนที่อ่อนโยนต่อผิวผู้หญิงโดยเฉพาะ

2.หลังโกนเสร็จอย่าเพิ่งรีบออกจากบ้าน ข้อนี้ทุกคนรู้กันว่าหลังกำจัดขนนั้นจะยังรู้สึกระคายเคืองอยู่ ลูบไล้เบบี้ออยล์หรือน้ำมันบำรุงผิวอะไรก็ได้ที่สกัดจากธรรมชาติตามลงไป จะช่วยให้ผิวชุ่มชื่นนุ่มนวลจนสัมผัสได้และลดการระคายเคือง ทั้งยังทำให้ผิวเปล่งประกายยามต้องแดดได้อีกด้วย

3. การลงชิมเมอร์ให้เรียวขาเปล่งประกายเจิดจ้าไม่ใช่การกระทำที่โอเวอร์ ขั้นตอนนี้สาวๆ ยังสามารถลงได้ทั้งตัวให้สีผิวสว่างไสวกลมกลืนกันและปกปิดจุดบกพร่องเล็กๆ ทั้งหลาย ตั้งแต่บริเวณหลังมือ โหนกแก้ม แผ่นหลัง ส่วนของเรียวขาก็ลูบไล้ชิมเมอร์ให้ทั่วรวมทั้งบริเวณหัวเข่า สาวๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาเข้าสปาบำบัดผิวจะใช้เป็นทางลัดก็ไม่ผิดกติกา เท่านี้ก็จะมีขาสวยๆ ที่ดูผุดผ่องน่ามอง นุ่งสั้นท้าลมท้าแดดได้ไม่อายใคร

4. หากต้องออกงานกลางคืน เสริมความเปล่งประกายให้เรียวขาโดยการไฮไลท์ด้วยบรอนเซอร์ ให้ผิวดูมีประกายระยิบระยับรับกับแสงไฟ ทั้งยังดูมีโทนสีแทนสุดเซ็กซี่

เพียงเท่านี้ ขาลาย ปัญหาผิวที่ไม่ชวนมอง ก็จะไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไปสำหรับสาวๆ ที่อยากโชว์ขาในหน้าร้อน...

เทคนิคผมสวย สูตรโบราณ!!

เทคนิคผมสวย สูตรโบราณ!!

หลักการความสวยของผมและผิวก็คือจะต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และมีจิตใจที่เบิกบานแจ่มใส สุขภาพที่ดีก็จะเปล่งประกายออกมาทางผิวที่เนียเกลี้ยงเกลา และผมที่เป็นประกายเงางาม
สระล้างและบำรุง

วิธีการทำความสะอาดและบำรุงเส้นผมที่มีมานานกว่าร้อยปีที่เป็นที่รู้จักกันดี คือการใช้น้ำมันคาเมลเลีย (Camellia) สาหร่าย ไข่ รำข้าว เป็นต้น โดยาการนำขิงหรือน้ำส้มสายชูจากข้าวมาเป็นส่วนผสมในการสระล้างผม จากนั้นจัดแต่งทรงผมด้วยน้ำมันหอมและขี้ผึ้งหอม หรือน้ำคั้นจากพืชพรรณธรรมชาติ และบางครั้งอาจอบผมให้มีกลิ่นหอมจรุงใจด้วย ดูๆแล้วแต่เดิมนั้นผู้หญิงคงต้องมีเวลามากพอสมควรในการดูแลบำรุงผมด้วยตนเอง ซึ่งต่างไปจากผู้หญิงในยุคปัจจุบันที่มีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเส้นผมและบำรุงผมสูตรสำเร็จ และหากคุณชอบดูแลผมสไตล์ธรรมชาติแต่ไม่มีเวลา ลองมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสกัดมาจากธรรมชาติ

อาหารที่ถูกหลักอนามัย

เส้นผมจะนุ่มสลวยดุจใยไหมก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่คุณรับประทาน อาหารที่ช่วยให้มีผมสวยอย่างใจคือ ข้าวไม่ขัดสี ปลา ไข่ สาหร่าย ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และธัญพืชต่างๆ ซึ่งเป็นอาหารที่มีวิตามินบีค่อนข้างสูง อุดมด้วยโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ต่างๆที่จำเป็นแก่ผมสวย เช่น กำมะถัน เหล็ก สังกะสี


การสระผมสไตล์เอเชียตะวันออก

1. ก่อนการอาบน้ำ ให้ใช้น้ำอุ่นๆชะโลมผมให้เปียก แล้วจึงใช้ยาสระผมด้วยการขยี้ให้เป็นฟองก่อน
2. นวดหนังศรีษะให้ทั่วเป็นเวลา 5 นาที
3. การทำความสะอาดเส้นผมให้ทั่วถึงและช่วยให้เส้นผมนุ่มสลวยคือการใช้ฟองแชมพูทำความสะอาดเส้นผมให้ทั่วศรีษะอย่างอ่อนโยน


การล้าง

ก้มศรีษะลงแล้วชะล้างแชมพูออกด้วยน้ำอุ่นผสมน้ำเย็นจนแน่ใจว่าชะล้างแชมพูออกหมด


สูตรแชมพูสระผมญี่ปุ่น

แชมพูสาหร่าย สำหรับทำความสะอาดเส้นผมช่วยให้เส้นผมสลวยเป็นประกายและดูหนา
สูตร สาหร่ายบดแห้ง 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำ 180 มิลลิกรัม คนให้เข้ากันจนเป็นครีมข้น ทำให้ผมเปียกชุ่ม จากนั้นนำครีมสาหร่ายที่เตรียมไว้ลูบเส้นผมและหนังศรีษะแล้วนวดให้ทั่ว สุดท้ายล้างออก


ข้อแนะนำ หากหมักทิ้งไว้นานประมาณ 20 นาที จะเป็นอาหารบำรุงเลี้ยงเส้นผมได้ด้วย


แชมพูรำข้าว เป็นสูตรธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งประเภท Two-in-one ช่วยทำความสะอาดเส้นผมและช่วยให้เส้นผมเปล่งประกายเงางาม

สูตร รำข้าวหนึ่งกำมือใส่ในถุงผ้าฝ้าย แล้วแช่ในน้ำอุ่นให้อ่อนนุ่ม จากนั้นนำมานวดเส้นผมและหนังศรีษะ ข้อสำคัญต้องให้ถุงผ้าฝ้ายเปียกชื้นอยู่เสมอ สุดท้ายล้างอกด้วยน้ำค่ะ

เคล็ดลับหน้าใสสูตรคุณยาย

เคล็ดลับหน้าใสสูตรคุณยาย

เชื่อแน่ว่าสาวๆ ทุกคน ต่างปรารถนาเป็นเจ้าของใบหน้าที่สวยใส ไร้ริ้วรอย หลายคนใช้วิธีพึ่งสถานเสริมความงามได้ผลบ้าง หน้าพังบ้าง ก็ต้องเสี่ยงกันไป

คุณยายที่เคยผ่านวัยสาวมาก่อน แนะเคล็ดลับ สวย ใส โดยไม่ต้องพึ่งใคร แต่พึ่งสมุนไพรไทยที่หาง่าย และราคาถูก เป็นสมุนไพรตำรับคุณยาย

ถ้าป้องกัน กำจัดสิว คุณยายกลุ่มนี้ แนะให้ใช้มะเขือเทศฝานบางๆ วางไว้ทั่วใบหน้าเป็นเวลา ๑๐ นาที แล้วล้างออก ทำเป็นประจำ หน้าจะใสเป็นสีชมพู

มีปัญหาจุดด่างดำ ก็ต้องใช้สูตรนี้ น้ำมะขาวเปียก ผสมขมิ้น ทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้จนแห้งแล้วล้างออก จากนั้นนำแตงกวาฝานบางๆ วางทั่วใบหน้า จุดด่างดำจะจางลง และหน้านุ่มขึ้น หรืออีกสูตร ใช้ว่านหางจระเข้ หรือจะเป็นเปลือกมังคุดถูหน้าทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออก

อยากจะผลัดเซลเก่าที่ร่วงโรย สร้างเซลเก่าให้ดูเนียนใส คุณยายแนะนำให้ใช้น้ำมะขามเปียกผสมน้ำผึ้ง ขมิ้น นมสด เข้าด้วยกัน ใช้นวดหน้า ว่ากันว่า เซลที่ตาย สิวเสี้ยนเม็ดเล็ก เม็ดน้อย จะหลุดติดออกมา เห็นผลหน้านวลทันตา สูตรนี้ยังใช้นวดตัวให้ดูเปล่งปลั่งได้ด้วย คุณยายบอกว่า ถ้าจะทำคราวเดียวมากๆ ควรนำสมุนไพรทั้งหมดไปเคี่ยวให้เดือดเสียก่อน จะเก็บไว้ทำสวยได้นานๆ

ส่วนผู้ที่ต้องการปกป้องผิวจากริ้วรอย ก็แนะนำให้ใช้ ใบบัวบก มาปั่นให้ละเอียด แล้วคั้นน้ำออกพอหมาดๆ เอาแต่กากมาพอกทั่วหน้า ทิ้งไว้ ๒๐ นาที ถ้าไม่ชอบสีของ ใบบัวบก ก็เปลี่ยนมาใช้มะละกอ แครอท หรือมะนาวก็ได้ ทำวิธีเดียวกันสัปดาห์ละ ๑ -๒ ครั้ง

อยากมีหน้าใส อมชมพู ต้องใช้ขิงแก่ ฝานบางๆ มีเคล็ดลับต้องฝานตามยาวจะได้ไม่มีเสี้ยน จะได้ไม่เจ็บเวลามาปาดหน้า ความแรงก็พอที่น้ำขิงจะออกมา อยากให้จุดไหนใสมีสีชมพู ก็ปาดทิ้งไว้ ๒ นาที ผิวจะรู้สึกร้อนๆ ตึงๆ แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็น ช่วยกระชับรูขุมขน

สมุนไพรมีทั้งคุณ และโทษ เลือกใช้ให้ถูกส่วน ถูกขนาด และปริมาณ จะช่วยให้สวยใส อ่อนวัยโดยไม่พึ่งยา หรือทำศัลยกรรมให้เจ็บตัว

วิธีรักษาใบหน้าใส ห่างไกลสิว

มีวิธีรักษาใบหน้าใส ห่างไกลสิว

1. สำคัญสุดคือ รักษาความสะอาด ของใบหน้าอยู่เสมอ อย่างน้อยควรจะล้างหน้า วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อลดความมัน

2. หลังทำกิจกรรม ที่มีเหงื่อออกมากๆแล้ว ควรล้างหน้าทุกครั้ง เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก ความมัน และแบคทีเรียบนใบหน้า

3. ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า สูตรปราศจากความมัน 100 เปอร์เซ็นต์ และที่มีส่วนผสมของ Tricosan ซึ่งสามารถขจัดแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว หรือที่มีส่วนผสม ของสารสกัดจากพืชธรรมชาติ ที่เหมาะกับสภาพผิว ที่มีปัญหาสิวโดยเฉพาะ

4. ระหว่างที่เป็นสิว ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ใส่ผม หรือเครื่องสำอางที่มีความเหนียวเหนอะหนะ สักระยะหนึ่ง เพราะสารในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มักตกค้างอยู่แถวๆตีนผม ซึ่งจะทำให้เกิด การระคายเคืองและเป็นสิว เพิ่มมากขึ้น

5. เวลาเป็นสิว พยายามเก็บมือเก็บไม้ ไว้กับตัวหน่อยนะคะ โดยเฉพาะอย่าใช้มือ ที่ไม่สะอาด ไปลูบหรือสัมผัสหน้าบ่อยๆ หรือไม่สัมผัสเลย ถ้าไม่จำเป็น

6. ข้อนี้ต้องเน้นว่า “ห้าม” เลยละค่ะ …ห้ามบีบหรือแกะสิวเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ เกิดรอยแผลเป็นที่รักษาได้ยาก

7. ควรรักษาสุขภาพ โดยทั่วไปให้ดีอยู่เสมอ รับประทานผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ และน้ำสะอาด ให้มาก ๆ รวมทั้งพยายามอย่าเครียด และอย่านอนดึก เป็นดีที่สุดค่ะ

เคล็ดลับหน้าใสด้วยผลไม้

เคล็ดลับหน้าใสด้วยผลไม้

ใครต้องการมีใบหน้าสวยใสไม่ควรพลาด เรามีเคล็ดลับทำหน้าใส สวยเด้งได้ง่าย ๆ ไม่ต้องเปลืองตังค์ ไปซื้อเครื่องสำอางค์ราคาแพง ๆ คุณผู้ชายก็ใช้ได้นะ เป็นสูตรง่าย ๆ น้ำผลไม้ใกล้ ๆ ตัว มาปั่น บด ผสมผสานกันก็กลายเป็นเครื่องประทินผิวสวยได้แล้ว รับรองได้ว่าเป็นอันตรายแน่นอน

สูตรสาวหน้าใสน้ำผึ้งผสมมะนาว
ส่วนผสม มีแค่น้ำผึ้งกับน้ำมะนาว ใช้น้ำผึ้ง 1 ถ้วย กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้า นวดไปเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น

สูตรสาวหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล
ใช้แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ นำมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นำมา ทาให้ทั่วใบหน้า แล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย

สูตรกระชับรูขุมขน
ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ด ออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยวลงไป นำไปปั่นให้ละเอียด จนเป็นเนื้อ ครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)
ใช้โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสม 3 ชนิดผสมให้เข้ากัน นำพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย

สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย
นำกล้วย 1 ผล ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง

สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา ใช้แตงกวา 1 ผล ไข่ไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและใส่น้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมา พอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม

เคล็ดลับที่ควรคำนึงถึง
- ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี
- ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง
- ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำและนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน
- เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรืออ่านหนังสือ

ที่มา
http://www.ku.ac.th/e-magazine/december45/know/face.html

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

กระชายดำ

กระชายดำ (ดำแท้)

กระชายดำ สมุนไพรไทย พืชมหัศจรรย์

สรรพคุณ
- บำรุงฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ชายเหนือชาย
- กระตุ้นประสาท ทำให้กระชุ่มกระชวย
- บำรุงกำลัง
- เป็นยาอายุวัฒนะ ชลอความแก่
- ขับลม ขับปัสสาวะ
- แก้โรคกระเพาะอาหาร
- แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา
- บำรุงเลือดสตรี แก้ตกขาว ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ

วิธีใช้
- ใช้รากเหง้า (หัวสด) ดองสุราขาวดื่มก่อนรับประทานอาหารเย็น ปริมาณ 30 ซีซี.
- ผู้ที่ดื่มสุราไม่ได้ ให้ฝานเป็นแว่นบางๆ แช่น้ำร้อนดื่มทุกวัน หรือจะดองกับน้ำผึ้งก็ได้
ปริมาณการผสม

หัวสด ใช้ประมาณ 4-5 ขีด ต่อสุราขาว 1 ขวด
หัวแห้ง บดเป็นผงละเอียด ผสม น้ำผึ้ง พริกไทยป่น กระเทียมผง บอระเพ็ดผง
ในอัตราส่วน 10 : 5 : 2 : 1 : 0.5
หรือดองกับสุราขาว ในอัตราส่วน 30 กรัม ต่อสุราขาว 1ขวด
หรือใช้หัวสดหรือหัวแห้งก็ได้ ดองกับน้ำผึ้ง ในอัตราส่วน 1:1
ทานทุกวัน บำรุงกำลังดีนักแล...

สวยด้วยตำลึง

ตำลึง Coccinia indica Wight & Arn

แก้อักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ

ตำลึงอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี เกลือแร่ และสารต้านการอักเสบ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค คนโบราณนิยมใช้สมุนไพรแก้สิวและพอกหน้าเพื่อทำให้ผิวหน้าสดใส ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางในไทยและญี่ปุ่นเริ่มที่จะนำยอดอ่อนและมือเกาะของตำลึงมาเป็นส่วนผสมในครีมบำรุงผิว เพราะเชื่อมั่นในคุณสมบัติพิเศษจากสารธรรมชาติที่มีอยู่ในสมุนไพรชนิดนี้

การเตรียมตำลึง
เลือกแต่ใบตำลึงสด ถ้าใช้ตำลึงตัวผู้โบราณว่าจะได้ผลกว่าใบตำลึงตัวเมีย และต้องล้างให้สะอาด (เพราะตำลึงมักจะมีตัวบุ้งอยู่) ก่อนที่จะนำมาปั่นเป็นครีมหรือคั้นเอาน้ำ

การใช้ตำลึง
- ใช้ใบตำลึงสดคั้นเอาแต่น้ำ ชุบสำลีแปะบนหัวสิวสักครู่ ประมาณ ๕-๑๐ นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำบ่อยๆ สิวอักเสบจะหายได้และไม่มีรอยแผลจากหัวสิวด้วย
- ใช้ใบตำลึงประมาณ ๑ กำมือ น้ำสะอาด ๒-๓ ช้อนโต๊ะ ปั่นเข้าด้วยกันจนเป็นครีม นำข้าวสาร (ถ้าเป็นข้าวกล้องได้ก็ดี) ๒ ช้อนชาไปแช่น้ำจนนิ่ม นำไปบดให้ละเอียด แล้วนำไปผสมกับครีมตำลึง นำไปพอกหน้าทิ้งไว้จนแห้ง จึงล้างออก จะช่วยกำจัดพิษบนใบหน้า แก้สิว ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น หรือหากไม่สะดวกในการ เตรียมข้าวสาร จะใช้ครีมตำลึงอย่างเดียวก็ได้

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้สมุนไพร
สมุนไพรทุกอย่างอาจมีบางคนที่แพ้ได้ การทดสอบว่าแพ้หรือไม่ให้นำส่วนผสมที่จะใช้ทาที่ท้องแขนก่อน เพราะผิวหนังบริเวณนี้จะเป็นส่วนที่บางกว่าหน้า ทิ้งไว้สักพักหนึ่งถ้าไม่เกิดอาการแสบร้อน มีผื่น ถือว่าไม่แพ้ การใช้สมุนไพรเพื่อที่จะได้ผลต้องมีการใช้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง จึงจะเห็นผล ตำรับต่างๆ ในการใช้สมุนไพรเพื่อความงามส่วนใหญ่เป็นผลไม้หรือผักที่ไม่ได้ตายตัว สามารถที่ปรับได้ ผสมสูตรขึ้นมาใหม่ได้ตามชนิดผลไม้หรือผักที่มีอยู่ ระยะเวลาในการทำหรือพอกก่อนล้างออกนั้นไม่ได้ตายตัว ขึ้นกับสภาพผิวของแต่ละคน คนที่ผิวแพ้ง่ายควรใช้เวลาน้อยกว่า และการใช้ในช่วงแรกไม่ควรพอกหรือทาทิ้งไว้นานๆ โดยเฉพาะตำรับที่มีกรดผลไม้ (ที่มักมีในมะขาม มะนาว สับปะรด) ซึ่งต้องมีการปรับตัวในการใช้ช่วงแรกๆ ต้องใช้ปริมาณน้อยๆ และในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนใช้ เช่น ถ้าใช้มะขามล้างหน้า ในช่วงแรกอาจจะต้องล้างออกทันทีประมาณ ๑ สัปดาห์ ก่อนทาหรือพอกทิ้งไว้ สามารถปรับตามสภาพของผิว เช่น ผิวแห้ง ควรใช้ น้ำนมโยเกิร์ต ไข่แดง ผิวมัน ใช้น้ำมะนาวหรือน้ำส้ม ไข่ขาว ส่วนน้ำผึ้งสามารถเติมลงไปได้ทุกสภาพผิว

สวยด้วยมะนาวและกล้วย

กล้วย Musa paradisiacal L.Var. sapientum O.Ktze

เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ

กล้วยมีสารเมือก เพิ่มความชุ่มชื้น ทั้งยังมีวิตามิน เกลือแร่ โปรตีน อีกหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อผิวหนังในการเพิ่มความชุ่มชื้น ลบรอยเหี่ยวย่น รักษาแผล

การเตรียมกล้วย
ใช้ส่วนที่เป็นเนื้อกล้วยบดหรือปั่น

การใช้กล้วย
- ใช้กล้วย ๑ ผล น้ำผึ้ง ๑ ช้อนชาสำหรับคนผิวแห้งหรือน้ำส้มหรือน้ำมะนาว ๑ ช้อนชาสำหรับคนผิวมัน ปั่น ผสมให้เข้ากัน จนละเอียดพอกให้ทั่วหน้า รวมทั้งลำคอ ทิ้งไว้ทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาที จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น เรียบลื่น เต่งตึง ลบรอยเหี่ยวย่น
- ใช้กล้วย ๑ ผล ผสมน้ำมันมะกอก ๑ ช้อนชา นำมาปั่น ผสมให้เข้ากัน พอกหน้าจนถึงลำคอ ทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาที แล้วจึงล้างออก เหมาะกับคนหน้าแห้ง จะทำให้ใบหน้าชุ่มชื้น เต่งตึง ลบรอยเหี่ยวย่น
- ใช้กล้วยน้ำว้าสุกปอกเปลือก บดให้เหลว แล้วทาให้ทั่วผิวหน้า ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าสะอาดนุ่ม ชุ่มชื้น




มะนาว Citrus aurantifolia Swing.
ลดความมันบนใบหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ

มะนาวเป็นผลไม้เก่าแก่ชนิด หนึ่งในการเป็นเครื่องสำอาง ใช้เพื่อทำให้ผิวนุ่มขึ้น และใช้เพื่อลดความมัน บนใบหน้า ใช้เป็นโทนเนอร์ สำหรับ คนที่หน้ามัน จากการที่มีกรดผลไม้ทำให้มีความชุ่มชื้นขึ้น ช่วยกำจัดเซลล์ ที่ตายแล้ว และมะนาวยังมีฟลาโว-นอยด์ ทำให้มีการไหลเวียนของเลือด ในหลอดเลือดเล็กดีขึ้น ทั้งยังเพิ่มความชุ่มชื้นในชั้นของผิวหนังชั้นนอก มะนาวยังมีวิตามินซีสูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ โดยทั่วไปแล้วในบ้านเรานิยมใช้น้ำมะนาวเป็นน้ำกระสายยา ร่วมกับการใช้สมุนไพรบำรุงผิวอื่นๆ สำหรับคนผิวมัน

การเตรียมมะนาว
คั้นเอาแต่น้ำมะนาว ควรใช้สดๆ ไม่ควรทิ้งไว้นาน ไม่ควรใช้น้ำมะนาวโดยตรงในการทาผิวหน้า เพราะถ้าใช้เข้มข้น จะทำให้หน้าเหี่ยวย่นได้

การใช้มะนาว
- ใช้น้ำมะนาว ๕-๖ หยดลงในน้ำ ๑ แก้ว ใช้ล้างหน้า จะทำให้ผิวหนังเนียนนุ่ม
- ใช้น้ำมะนาว ๑ ช้อนชา น้ำส้มคั้น ๑ ช้อนชา โยเกิร์ต ๓๐ มิลลิลิตร ผสมในอัตราส่วนที่เท่าๆ กันแล้วทาให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ ๑๐-๑๕ นาทีแล้วล้างออก จะทำให้สดใส ลบรอยกระ จุดด่างดำ
-ใช้น้ำมะนาว ๑ ช้อนชา ไข่ขาว ๑ ฟอง ดินสอพอง ๔-๕ เม็ดนำมาผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน พอกหน้าทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาที เหมาะสำหรับคนที่หน้ามันเพื่อลดความมันบนใบหน้า
- ใช้น้ำมะนาว ๑/๒ ช้อนชา ไข่แดง ๑ ฟอง ผิวส้มบด ๑/๒ ช้อนชา พอกหน้าไว้สัก ๑๐-๑๕ นาที สำหรับคนที่ผิวซีดเซียวจะทำให้ผิวเปล่งปลั่งสดใสขึ้น
- ใช้น้ำมะนาวผสมน้ำประมาณร้อยละ ๑-๒ แล้วเอาน้ำมะนาวเจือจางนั้นมาผสมกับน้ำมันมะกอก คนตีแรงๆ เร็วๆ แล้วเติมไข่แดงลงไป ๑ ช้อน เอาไปทาหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ เหมาะสำหรับคนหน้าแห้ง หรือหน้าธรรมดา ส่วนคนผิวมันที่ไม่เหมาะจะใช้ไข่แดงหรือน้ำมันมะกอก ก็ให้ใช้สบู่แทน จะเป็นสบู่เหลวหรือสบู่ก้อนก็ได้ตัดมานิดหน่อย มาตีให้เข้ากับน้ำมะนาวเจือจางใช้ทาแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ แล้วตามด้วยน้ำเย็น

สวยด้วยสับปะรดและมะขาม

สับปะรด Ananas comosus (Linn.) Merr.

กำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว (keratolysis) ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ลดการ อักเสบ

สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าต่อความงามของผิวพรรณจากการที่สับปะรดมีเอนไซม์ papain ช่วยย่อยเซลล์ที่ตายแล้ว ของชั้นผิวหนังให้หลุดออกมา มีประโยชน์ ต่อผู้ที่มีสิวหัวดำอุดตันที่ใบหน้า ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้น สับปะรดยังมีสรรพคุณในการช่วยลดการอักเสบและยังมีวิตามินเอ วิตามินซี ช่วยต้านอนุมูลอิสระและมีเกลือแร่อีกหลายชนิดช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น

การเตรียมสับปะรด
นำสับปะรดมาปอกเปลือกออก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นให้ละเอียด

การใช้สับปะรด
- น้ำสับปะรด ๑ ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง ๒ ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด ๓ ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาด พอกให้ทั่วบริเวณใบหน้า ยกเว้นปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วออก
- ใช้น้ำที่คั้นได้จากผลสับปะรด นำมาชโลมผิวหน้า ทิ้งไว้พอแห้งแล้วล้างออก จะทำให้หน้าเนียนนุ่ม เนื่องจากสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวชั้นนอกสุดถูกย่อยและขจัดออกไป



มะขาม Tamarindus indica Linn.
ลดรอยด่างดำบนใบหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหน้าเรียบลื่น ทำให้ผิวหนังสดชื่นลดจุดด่างดำ ฝ้า กระ เพิ่มความชุ่มชื้น ลบรอยเหี่ยวย่น ตำรับความงามที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งพบตำรายาสมุนไพรเขียนด้วยภาษาล้านนาว่า "มะขาม ฝักกระดาน สักกำมือแช่น้ำอุ่น ทาตัวทาหน้า ผิวดำและฝ้าย่อมเสี้ยงไป" (เสี้ยง หมายถึง หมดไป) ที่เป็นเช่นนี้เพราะในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว มะขาม สับปะรด จะมีกรดเอเอชเอ (AHA หรือ alpha hydroxy acid) ซึ่งเป็นกรดอ่อนๆ จะช่วยขัดผิว ลอกผิวด่างดำ และฝ้า

นอกจากนี้ มะขามยังมีกรดทาร์ทาริก (tartaric acid) กรดซิตริก (citric acid) และกรดมาลิก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วย ลบรอยด่างดำบนใบหน้า ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น กำจัดรอย เหี่ยวย่น ทำให้ผิวขาวนวลเนียน ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ขึ้น แต่มะขามมีข้อได้เปรียบมะนาวและสับปะรดตรงที่มะขาม มีลักษณะเป็นครีมโดยธรรมชาติสามารถใช้ได้ดีกว่า

การเตรียมมะขาม
การใช้มะขามให้ใช้มะขามเปรี้ยวสุก (มะขามหวานใช้ไม่ได้เพราะกรดผลไม้มีน้อย)
น้ำคั้นมะขามเปียกที่ดีมีคุณภาพ ต้องได้จากการ คั้นมะขามเปียกสดใหม่ และใช้ทันที ถ้าเก็บในตู้เย็นต้องไม่เกิน ๑ สัปดาห์ ถ้าหากจะกวนเก็บไว้ใช้นานๆ ต้องกวนจนเกือบแห้งซึ่งมักจะกวนใส่นมหรือน้ำผึ้งก็ได้

การใช้มะขาม
-มะขามเปียก ๑ กำมือ นมสด ๑ ถ้วย น้ำผึ้ง ๑ ช้อนโต๊ะ
-นำเนื้อมะขามเปรี้ยวสุก ไม่ต้องแกะเมล็ดปั้นเป็น ก้อนกลม ห่อด้วยผ้าขาวบาง ฟอกขัดตัวเมื่ออาบน้ำ จะทำให้ผิวที่คล้ำด้วยแดด หรือลม เป็นผิวที่นวลผ่อง
-น้ำมะขามเปียกผสมน้ำพอเจือจางล้างหน้าเป็น ประจำ ช่วยขจัดความมันบนใบหน้า และสิวให้หลุดออกไปอย่างหมดจด
-คั้นน้ำมะขามเปียกพอข้น ทาบริเวณที่เกิดฝ้า อาจพอกไว้แล้วลูบไล้ด้วยมือเบาๆ ครั้งละ ๑๐-๑๕ นาที เช้า เย็น เป็นเวลา ๓ สัปดาห์ จะทำให้ฝ้าด่างดำถูกลบเลือนไปจนหมด สำหรับคนผิวแห้งควรผสมนมสดชนิดจืดลงไปด้วย ไขมันและโปรตีนจากนมสดจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้เป็นอย่างดี

-ใช้มะขามเปียกที่แกะเมล็ดแล้วขนาดประมาณ ๑ กำมือ นมสด ๑ กล่อง ขยำเข้ากัน กรองด้วยตะแกรง เพื่อเอาซังมะขามออก นำไปเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ พอใกล้งวด เติมน้ำผึ้งลงไป ๑ ช้อนโต๊ะ อาจเติมขมิ้นชันลงไปประมาณ ๑/๔ ช้อนชา (ระวังอย่าใส่มากเกินไปจะทำให้หน้าเหลือง) เคี่ยวต่อจนงวด แต่อย่าให้ข้นเกิน สังเกตว่ายังสามารถแตะขึ้นมาได้ง่าย เสร็จแล้วบรรจุลงในกระปุกสะอาด ถ้าไม่เปิดเลยจะอยู่ได้ประมาณ ๖ เดือน ใช้ล้างหน้าทุกวันทำให้หน้าขาวขึ้น

สวยด้วยบัวบกและแครอต

บัวบก Centella asiatica L.

สร้างเซลล์ใหม่ ทำให้เซลล์แข็งแรง ลดอาการบวมคั่ง (decogestion) กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อของผิวหนัง
บัวบกเป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงในการรักษาแผลมาอย่างยาวนาน ทำให้แผลหายเร็วและไม่เป็นแผลเป็น โดยการที่บัวบกไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสทินซึ่งเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง จากการที่มีสารพวกไตรเทอร์พีน เช่น asiaticoside, madecassoside, asiatic, madecassic, madisiatic acids เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีสารฟลาโวนอยด์เสริมสรรพคุณในการลดการอักเสบ ลดการระคายเคือง สารในบัวบกเหล่านี้ยังทำให้การไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดเล็กๆ ดีขึ้น จึงมีประโยชน์ต่อผิวหนังหลายด้าน เช่น เป็นการทำให้เซลล์ได้รับอาหารมากขึ้น เซลล์แข็งแรงขึ้น ลดอาการบวมคั่ง แก้ปัญหาผิวหนังที่มีลักษณะเป็นผิวส้ม

การเตรียมบัวบก
บัวบกเป็นสมุนไพรที่ขึ้นกับดิน ต้องเลือกตัดเอาเฉพาะส่วนที่เหนือดิน แล้วนำมาล้างให้สะอาด บัวบกมีลักษณะเหนียว ถ้านำไปปั่นในเครื่องปั่นทั้งต้นโดยไม่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนและจะต้องมีน้ำอยู่ด้วย มิเช่นนั้นจะทำให้เครื่องปั่นทำงานหนักและมีปัญหาได้

การใช้บัวบก
ใบบัวบกส่วนที่เหนือดินตัดรากออก ๑ กำมือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ น้ำสะอาด ๒-๓ ช้อนโต๊ะ อาจจะเติมน้ำผึ้งลงไปสัก ๑ ช้อนชา ปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันพอกก่อนเข้านอนทิ้ง ไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด พอกได้ทุกวัน จะทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ สดใส ไร้รอยแผลเป็น



แครอต Daucus carota L.
ทำให้ผิวหนังเรียบลื่น ควบคุมการสร้างไขมันของต่อมไขมัน ทำให้เซลล์แข็งแรง ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ทำให้หน้าขาวขึ้น

แครอตเป็นผักที่มีวิตามินและเกลือแร่สูงมาก ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าแครอตเป็นสมุนไพรผู้พิทักษ์ผิวที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เนื่องจากแครอตมีสารเพกติน กรดอะมิโน ซึ่งเป็นสารอาหารและสร้างฟิล์มบางเพื่อทำให้ผิวเรียบลื่นและสดชื่นทั้งยังมีสารโปรวิตามินเอ และวิตามินซีซึ่งมีประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระ

นอกจากนี้ วิตามินซี วิตามินเอ แมกนีเซียม เหล็ก แมงกานีส ทองแดงซึ่งจำเป็นต่อการสร้างอีลาสทินและคอลลาเจน ส่วนวิตามินในกลุ่มของวิตามินบีและโปร-วิตามินเอจะช่วยในการควบคุมการสร้างไขมันจากต่อมไขมัน แครอตยังช่วยให้หน้าขาวขึ้นจากสารบีตาแคโรทีน

วิธีเตรียมแครอต
ปอกเปลือกออกก่อนที่จะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปปั่น ซึ่งในการปั่นจะต้องมีน้ำอยู่เล็กน้อยให้พอปั่นได้

วิธีใช้แครอต
-แครอตหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ๑ ถ้วยผสม น้ำครึ่งถ้วย เพียงสองอย่างหรือเติมน้ำผึ้งแท้ ๑_๔ ถ้วย (สำหรับคนหน้าแห้ง) หรือไข่ขาว ๑ ฟอง (สำหรับคนหน้ามัน) ลงไป ปั่นรวมกันให้ละเอียด พอกทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดทำทุกวันก่อนเข้านอน หน้าจะสดใส เต่งตึงและขาวขึ้น
-แครอตต้มสุกนำมาบดให้ละเอียด พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ ๑๕-๒๐ นาที

สวยด้วยแตงกวาและมะม่วง

แตงกวา Cucumis sativusLinn.
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น เพิ่มความยืดหยุ่น ลดการบวมแดง สมานผิว

แตงกวาเป็นสมุนไพร เก่าแก่ชนิดหนึ่งซึ่งสาวทั่วโลกใช้เป็นเครื่องสำอางมาอย่างยาวนาน โดยแตงกวาช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น มีสารกลูซิด (glucids) กรดอะมิโน และเกลือแร่ต่างๆ ไปช่วยทำให้เกิดของสารชุ่มชื้นตามธรรมชาติที่ผิวหนังขึ้นมาใหม่

แตงกวายังช่วยทำให้ผิวหนังคงความเยาว์วัย มีความยืดหยุ่นจากการที่แตงกวามีสารซิสทิน (cystin) และเมทิโอนิน (methionin) และยังมีสารโพลีแซ็กคาไรด์ ที่ช่วยทำให้ผิวหนังสดชื่น ต้านการเป็นปื้นแดง ซึ่งจะมีประโยชน์ในการใช้ทาหลังจากไปตากแดดมา เช่น ไปทำนา ไปตีกอล์ฟ เป็นต้น
แตงกวาเป็นสมุนไพรที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าแห้งจากการที่มีคุณสมบัติไปเพิ่มความชุ่มชื้นและเหมาะกับคนที่มีหน้ามันจากคุณสมบัติสมานผิว

การเตรียมแตงกวา
- หั่นแตงกวาสดๆ ตามขวางบางๆ วางให้ทั่วใบหน้า
- หั่นแตงกวาแล้วปั่นกรองคั้นเอาแต่น้ำเก็บไว้ใช้ทา ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน ๒ วัน
- นำแตงกวาปอกเปลือก ๔ ส่วน กลีเซอรีน ๓ ส่วน น้ำ ๑ ส่วน ปั่นเข้าด้วยกัน กรอง เก็บน้ำไว้ใช้ได้ประมาณ ๑ ปี นำสารสกัดแตงกวานี้ไปผสมกับเนื้อครีมหรือโลชัน ประมาณ ๒-๔ ช้อนชาต่อครีมหรือโลชัน ๑๐๐ มิลลิลิตร

การใช้แตงกวา
- ใช้แตงกวาสดๆ ฝานเป็นชิ้นบางๆ วางให้ทั่วใบหน้าที่ทำความสะอาดแล้ว ทำบ่อยๆ จะทำให้ใบหน้า ดูผุดผ่อง เปล่งปลั่งขึ้น และยังช่วยรักษาฝ้าบนใบหน้า ได้อีกด้วย
- ใช้น้ำแตงกวามาทาใบหน้าเป็นประจำจะช่วยลดจุดด่างดำ รอยฝ้าที่เกิดจากการผจญแสงแดดและมลพิษ ระหว่างวัน และช่วยบำรุงผิว
- ใช้แตงกวาสดปั่นละเอียด ๒-๓ ผล ผสมกับน้ำผึ้ง ๑_๔ ถ้วย หรือนมสด ๑_๒ ถ้วย ปั่นให้ละเอียด นำมาพอก หน้า ทิ้งไว้ ๑๐ นาที แล้วล้างออก ก่อนนอนทุกวัน เหมาะกับคนผิวแห้ง จะทำให้ผิวหน้านุ่มนวลขึ้น
- ใช้แตงกวาปั่นละเอียด ๒-๓ ผล โดยผสมกับไข่ขาวดิบตีจนฟู ๑ ฟอง น้ำมะนาว ๑ ช้อนชา ผสมจนเป็น เนื้อเดียวกัน นำมาพอกทิ้งไว้ ๑๐-๑๕ นาที ลดความมันบนใบหน้าสำหรับคนผิวมัน และยังช่วยกำจัดสิวเสี้ยน ทำให้หน้าเกลี้ยงเกลาขึ้น
- ใช้แตงกวาฝานเป็นแว่นแปะที่ดวงตา แตงกวาสดจะมีเอนไซม์ย่อยเซลล์ที่ตายแล้ว ทำให้เซลล์บริเวณรอบดวงตาเย็น การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อลดลง ริ้วรอยน้อยลง
- ใช้แตงกวาสดใหม่ทั้งผลปั่นละเอียด ผสมน้ำผึ้งพอเหลว นำมาพอกหน้า ทิ้งไว้สักครู่ และล้างออกด้วยน้ำอุ่น เนื้อแตงกวาจะช่วยย่อยโปรตีนชั้นนอกที่หยาบกร้านและเกรียมแดดให้หลุดออกมาได้ และยังช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นขึ้น ไม่แห้งแตกเป็นขุย



มะม่วง Mangifera indica Linn.
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้เรียบ ลื่น ทำให้ผิวหนังสดชื่น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ

มะม่วงมีวิตามินซีและ reducing glucid สูง จึงช่วยทำให้ผิวหนังสดชื่น ลบรอยเหี่ยวย่นและต้านอนุมูลอิสระ ในมะม่วงยังมีสารที่เป็นน้ำตาลร่วมกับกรดอะมิโน จึงช่วยทำให้เกิดความเรียบลื่น ชุ่มชื้นบนชั้นของหนังกำพร้า วิตามินเอ วิตามินซี และเกลือแร่ที่มีอยู่ในมะม่วงยังช่วยให้กลไกการสร้างเซลล์ใหม่เป็นไปได้ดียิ่งขึ้น

การเตรียมมะม่วง
ปอกเปลือกออก เลือกใช้เฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อ

การใช้มะม่วง
ใช้สำหรับคนเป็นฝ้า นำเนื้อมะม่วงสุกมายีหรือ ปั่น แล้วนำไปพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้จนรู้สึกว่าแห้งจึงล้างออก จะทำให้หน้าขาวและนุ่มนวลขึ้น มะม่วงสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว

สวยด้วยมะเขือเทศและฝรั่ง

มะเขือเทศสุก Lycopersicon esculentum Mill.
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ทำให้หน้าขาวขึ้น น้ำคั้นจากผลมะเขือเทศมีวิตามินหลายชนิด จึงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นและมีสารกลูโคอัลคาลอยด์ ชื่อโทเมทีน (tomatine) เป็นสารที่ออกฤทธิ์สมานแผล นอกจากนั้น มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ช่วยล้างผิวหน้าให้สะอาดนุ่มนวล ปรับสภาพผิวแห้งกร้าน และคืนสภาพผิวชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี

การเตรียมมะเขือเทศ
สามารถใช้มะเขือเทศได้ทั้งลูกโดยไม่ต้องปอกเปลือก

การใช้มะเขือเทศ
- ฝานมะเขือเทศวางบนใบหน้าสักครู่ จะช่วยทำให้ใบหน้าสะอาด และดูเต่งตึงเปล่งปลั่งขึ้น
- มะเขือเทศปั่นผสมกับข้าวโอ๊ตหรือรำข้าว พอกหน้า ทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออก
- เนื้อมะเขือเทศสุกบดละเอียด ลูบไล้ปลายหางตาจะลดการเหี่ยวย่น ป้องกันการเกิดริ้วรอยตีนกา ต้องทำทุกวันจึงจะเห็นผล
- มะเขือเทศสุกบดละเอียด ผสมน้ำนมสด เป็น beauty mask พอกหน้าทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออก พอกเป็นประจำจะทำให้ผู้ที่มีหน้าดำเป็นจุดๆ ค่อยๆ ขาวขึ้น ช่วยทำให้ผิวหน้าสะอาดขึ้น

ฝรั่ง Psidium guajava Linn.
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้เซลล์แข็งแรง ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ สมานผิว
ฝรั่งเป็นผลไม้ที่สตรีในหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกนิยมใช้เป็นเครื่องสำอางทาผิวหน้า โดยที่ฝรั่งมีโพแทส-เซียม น้ำตาล และกรดอะมิโนที่สามารถดึงน้ำให้อยู่ชั้นบนของผิวหนัง จึงทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นขึ้น นอกจากนี้ ฝรั่งยังมีวิตามินสูงที่สำคัญคือวิตามินบี ๒ ซึ่งถือว่าเป็นวิตามินเพิ่มพลัง ซึ่งจำเป็นในการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเซลล์ รวมทั้งมีวิตามินบี ๕ ซึ่งเป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเซลล์เช่นกัน ฝรั่งยังสามารถป้องกันผิวหน้าไม่ให้ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระและเพิ่มการสร้างเซลล์ใหม่จากการที่ในฝรั่งมีวิตามินเอ วิตามินซี รีดิวซิ่งชูการ์ (reducing sugar) แมกนีเซียม และทองแดง

การเตรียมฝรั่ง
เลือกฝรั่งที่สดและไม่สุกจนเกินไป เอาเฉพาะส่วน ที่เป็นเนื้อ ไม่ใช้เมล็ด ควรหั่นเป็นชิ้นเล็กก่อนปั่น และต้อง เติมน้ำลงไปจำนวนหนึ่งทุกครั้งในการปั่น เพราะฝรั่งมีน้ำอยู่น้อย

การใช้ฝรั่ง
เนื้อฝรั่งหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ๑ ถ้วย น้ำ ๑_๒ ถ้วย น้ำผึ้ง ๑_๔ ถ้วยปั่นจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ ๑๐- ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดทำทุกวันก่อนเข้านอน หน้าจะสดใส เกลี้ยงเกลาและนวลเนียนขึ้น

สวยด้วยว่านหางจระเข้

สวยด้วยว่านหางจระเข้

การดูแลผิวหน้าด้วยสมุนไพรของสตรีทั่วโลกพบว่ามีการใช้กันมานานมากกว่า ๑ พันปีมาแล้วปัจจุบันได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสมุนไพร ผัก ผลไม้ ไข่แดง น้ำผึ้ง นม และสิ่งที่ส่วนใหญ่กินได้เหล่านั้นอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ โปรตีน น้ำตาล และสารธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ
ประเทศไทยเองมีภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรในการดูแลผิวพรรณมาอย่างยาวนานเช่นกัน ทั้งยังเป็นประเทศที่ร่ำรวยผักและผลไม้ ซึ่งทำให้สามารถเลือกใช้ได้ตามชนิดต่างๆ ทุกฤดูกาล ตามภูมิภาคที่สามารถหาผัก ผลไม้ สมุนไพร ได้แตกต่างกันไป

สมุนไพรเพื่อความงามสำหรับผิวหน้า
ใบหน้าเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้คนจดจำ ผิวหน้า ที่ชุ่มชื้น เรียบเนียน มีความยืดหยุ่น (หรือที่เรียกกันว่าหน้าเด้ง) ไม่มีจุดด่างดำเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา แต่ด้วยสภาพของวัยที่สูงขึ้น และมีโรคประจำตัวบางอย่าง สภาพของวิถีชีวิต เช่น นอนดึก สูบบุหรี่ ดื่มสุรา เครียด เป็นต้น ทำให้คนเราไม่สามารถมีผิวเรียบเนียนเช่นนั้นได้ การใช้สมุนไพรร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจะส่งผลทำให้มีผิวพรรณที่ดีได้ยาวนาน

การใช้สมุนไพรสำหรับผิวหน้ามีหลักการง่ายๆ ดังนี้
- ต้องอยู่บนพื้นฐานของความสะอาด
- สมุนไพรสดใหม่มีคุณภาพดี มีการย่อยขนาดจนละเอียด ไม่มีการระคายเคืองต่อผิวหนัง
- เป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัย จำง่ายๆ ก็คืออะไรที่กินได้ (เช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ) นั้นสามารถใช้เป็นเครื่องสำอางได้
- ต้องเชื่อมั่นธรรมชาติของผิวหนังที่มีกลไกดูแลตัวเองอยู่แล้ว ต้องรักษากลไกนั้นไว้นานๆ

ข้อควรรู้เกี่ยวกับผิวหนัง
ผิวหนังมีหน้าที่ห่อหุ้มอวัยวะภายใน มีกลไกในการป้องกันผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ควบคุมอุณหภูมิ ควบคุมการซึมผ่านของสารต่างๆ ผ่านโครงสร้างของผิวหนัง รูขุมขน ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ

ผิวพรรณที่ดีควรมีความชุ่มชื้น เต่งตึง ไม่แห้งผาก ผิวพรรณที่แห้งผากจะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย เป็นฝ้า เป็นโรคทางผิวหนังได้ง่าย ซึ่งผิวพรรณจะเต่งตึงได้จาก ๓ องค์ประกอบได้แก่ น้ำ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเซลล์ถึงร้อยละ ๙๕ สารชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ซึ่งผิวหนังสร้างขึ้นและ น้ำมัน ซึ่งผิวหนังจะมีกลไกการสูญเสียน้ำโดยมีการสร้างไขมันธรรมชาติปกป้องไม่ให้น้ำระเหยไปจากผิวหนัง (ครีมหรือไขมันตามธรรมชาติไม่ได้ไปเพิ่ม) การล้างหน้าด้วยน้ำร้อน การล้างหน้าบ่อย เกินความจำเป็น การล้างหน้าด้วยสบู่ที่มีความสามารถในการทำความสะอาดสูงๆ ล้วนทำให้ไขมันและสารที่ให้ความชุมชื้นตามธรรมชาติสูญเสียไป

ผิวพรรณสะท้อนสุขภาพภายใน ความแข็งแรงและกลไกของผิวหนังขึ้นกับเลือด น้ำเหลืองที่มาหล่อ- เลี้ยง ดังนั้น ความเครียด อาหาร การออกกำลังกาย พฤติกรรมสุขภาพ ล้วนแล้วแต่มีผลต่อความงามของผิวพรรณ รวมถึงกรรมพันธุ์ก็มีส่วนสำคัญต่อการเป็นคนผิวแห้ง ผิวมัน ได้เช่นกัน
สมุนไพรที่ใช้เพื่อความงามของผิวหน้า

ว่านหางจระเข้ Aloe barbadensis Mill.
ป้องกันผิวแห้ง ทำให้เรียบลื่น เพิ่มความชุ่มชื้นต้านการอักเสบ ป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต
ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่ใช้เป็นเครื่องสำอางมาอย่างยาวนานนับพันปี มีบันทึกทั้งใน กรีก โรมัน ซาอุดีอาระเบีย จีน อินเดีย เล่ากันว่าเจลจากว่านหาง-จระเข้เป็นเคล็ดลับความงามของพระนางคลีโอพัตรา

ใบว่านหางจระเข้มีน้ำเมือก และวุ้นมีสารสมาน ผิว ช่วยลอกผิวหนังที่หยาบแห้งและเกิดผิวหนังใหม่ ที่นุ่มนวลขึ้นมาแทน สารนี้เป็นสารช่วยย่อยมีชื่อว่า คาร์บอกซีเพปทิเดส (carboxypeptidase) และสารพวกสารเมือก (mucilage) สารช่วยย่อยตัวนี้จะมีฤทธิ์ลดการเจ็บปวด การอักเสบบวมของแผล ส่วนสารอะล็อก-ทินเอ (aloctin A) เป็นไกลโคโปรตีน จะไปช่วยทำให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วถูกทำลายไป และจะเพิ่มปริมาณของเซลล์ที่เกิดมาใหม่ให้มากขึ้น จึงทำให้แผลหายเร็ว
วุ้นจากว่านหางจระเข้ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นในผิวหนังชั้นนอกได้จากสารเมือก และสารโพลีแซ็กคาไรด์

การเตรียมว่านหางจระเข้
ควรใช้ว่านหางจระเข้อายุ ๑ ปีขึ้นไป เลือกใบล่างสุด ปอกเปลือกออกใช้ส่วนที่เป็นวุ้นใสๆ ล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด วิธีล้างยางออกให้หมดต้องนำใบหางจระเข้ที่เพิ่งตัดออกมายังไม่ต้องปอกเปลือก ให้นำทั้งใบไปแช่น้ำจนน้ำยางสีเหลืองไหลออกมาจนหมด จึงนำไปล้างน้ำอีกครั้งแล้วจึงค่อยปอกเปลือก โดยฝานลึกๆ เอาแต่วุ้นข้างในแล้วนำวุ้นมาล้างอีกครั้งหนึ่ง

การใช้ว่านหางจระเข้
- ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ทาบริเวณที่เป็นสิว จะทำให้สิวยุบตัว และไม่เป็นแผลเป็น
- ใช้เจลจากใบสดๆ ตัดเป็นชิ้นขนาดพอดีกับ เปลือกตา วางทับบนเปลือกตารักษาผิวบริเวณดวงตา บวมช้ำ
- ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ล้วนๆ ทาที่ใบหน้าทิ้งไว้เพื่อบำรุงผิว (สำหรับคนหน้าแห้งอาจจะผสมกับครีมทาหน้าทั่วไปก็ได้) ซึ่งจะช่วยแก้ไขรอยหมองคล้ำ ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ลบรอยเหี่ยวย่น ใช้เป็นประจำจะลดรอยแผลเป็นจากสิว รักษาฝ้า จุดด่างดำบนใบหน้า
- ใช้ทาบนผิวหน้าในลักษณะของโทนเนอร์เพื่อป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต หรือเป็นรองพื้นสำหรับคนที่ผิวมันซึ่งทำให้แต่งหน้าลำบาก ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ทาให้ทั่วใบหน้า เสร็จแล้วแต่งหน้าตามปกติ ทำให้เครื่องสำอางบนใบหน้าไม่ลบเลือนง่าย
- ใช้พอกหน้าเพื่อแก้ปัญหาผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง โดยใช้ว่านหางจระเข้ ๓ ส่วน น้ำผึ้ง ๑ ส่วน น้ำมะนาว ๑ ส่วนผสมให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ ๒๐ นาที จึงล้างออก จะช่วยสมานรูขุมขนและทำให้ผิวหน้านุ่มเนียนขึ้น
- ใช้ทำเป็นครีมล้างหน้า ครีมพอกหน้า เช่น ใช้วุ้น ว่านหางจระเข้ ผสมน้ำนม ทิ้งไว้สัก ๑๐-๑๕ นาทีแล้ว ล้างออก บำรุงผิว ลดการเกิดสิว หรือใช้วุ้นว่านหางจระเข้ ร่วมกับสมุนไพรตัวอื่น เช่น ว่านหางจระเข้ ๖ ส่วน บัวบก ๒ ส่วน รำข้าวสาลี ๒ ส่วน นม ๐.๕ ส่วน น้ำผึ้ง ๐.๕ ส่วน ซึ่งแล้วแต่สภาพผิว ถ้าผิวแห้งก็ใส่นมมาก ถ้า ผิวมันก็ลดปริมาณนมแล้วเพิ่มปริมาณน้ำผึ้ง นำส่วนผสมมาปั่นผสมกัน พอกหน้าทิ้งไว้สัก ๑๐-๑๕ นาที นวดคลึงเบาๆ ผิวหน้าจะสดใส ลบรอยแผลเป็นและ จุดด่างดำ ให้พอกสม่ำเสมอสัปดาห์ละประมาณ ๑ ครั้ง

จากhttp://www.doctor.or.th/node/1260

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

สมุนไพรลดน้ำหนัก หุ่นสวยแบบไม่ต้องพึ่งยา

สมุนไพรลดน้ำหนัก หุ่นสวยแบบไม่ต้องพึ่งยา


ผอม เพรียว เป็นที่ปรารถนาของสาวทุกคน แต่ใครที่เผลอตัวเผลอใจเอ็นจอยกับการกินมากไปหน่อย พอรู้ตัวอีกทีก็อ้วนซะแล้วและอยากลดน้ำหนัก แต่ไม่รู้จะใช้วิธีไหนให้ปลอดภัยและได้ผล วันนี้เรามีสูตรเด็ดในการนำสมุนไพรมาช่วยในการลดความอ้วน รับรองได้ผลและปลอดภัยจากอาการโยโย่อีกด้วย
สมุนไพรที่ใช้ในการลดน้ำหนักแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

1.สมุนไพรที่ยับยั้งการสร้างกรดไขมัน มี 2 ชนิด

ส้มแขก

สารสกัดจากส้มแขกที่มีกรดไฮดรอกซี่ซีติกเอซิด จะช่วยยับยั้งเอนไซม์ตัวหนึ่งชื่อ ซิเตรทไลเอส เมื่อเรากินอาหารเข้าไปจะทำให้ปฏิกิริยาในร่างกาย เปลี่ยนอาหารเป็นพลังงาน ATP แต่จะไม่สร้างกรดไขมันขึ้น ทำให้เราไม่มีไขมันสะสมในร่างกาย ทำให้ผอมลง

หากกินส้มแขกก่อนอาหารสักครึ่งชั่วโมงจะช่วยทำให้กินข้าวได้น้อยลง ลดความอยากอาหารลงได้ 10% และทำให้กินข้าวได้น้อยลง ลดความอยากอาหารลงได้ 10% และทำให้ไม่ค่อยหิว ฉะนั้นจึงทำให้อดอาหารได้มากขึ้น ส่วนปริมาณในการกิน ควรกินประมาณ 500-700 มิลลิกรัม

พริก

ในความเผ็ดของพริกจะมีสารแคปไซซิน ที่ทำหน้าที่ให้ปฏิกิริยาของร่างกายไม่สร้างกรดไขมันขึ้น และจะช่วยในการลดน้ำหนักได้ ถ้ามีแคปไซซินมากๆ ก็จะไปยับยั้งการสร้างกรดไขมัน

2.สมุนไพรที่มีเส้นใยสูง เช่น มะเขือพวง เม็ดแมงลัก

มะเขือพวง

ในตำรายาไทยบอกว่า มะเขือพวงมีฤทธิ์แรงในการลดน้ำหนัก และยังช่วยให้ระบบเผาผลาญดี ขับถ่ายได้ง่าย สามารถนำมาทำอาหารได้หลายอย่าง เช่น ทำแกงป่า ทำน้ำพริก

เม็ดแมงลัก

เม็ดแมงลักเป็นอาหารที่มีแคลอรีน้อยมากๆ จึงเป็นอาหารที่เหมาะกับการลดน้ำหนัก และมีวิธีกินง่ายๆ เพียงเอาน้ำแตงโมใส่เม็ดแมงลัก แล้วนำไปแช่ให้แข็ง กินเป็นอาหารเย็น ก็จะทำให้มื้อนั้นอิ่มสบายท้อง

นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งคือ ชาสมุนไพร ที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งความอยาก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คุณตบะแตกจากการลดน้ำหนักได้ง่าย

สูตรชาสมุนไพรลดความอยาก

เวลาที่คุณหิว หรืออยากกินโน่นกินนี่ ให้แก้ด้วยการดื่มชามะนาวทุกครั้งที่อยากกิน ให้นำน้ำอุ่นละลายกับชามา 1 แก้ว แล้วบีบมะนาวใส่ลงไป ห้ามใส่น้ำตาลเด็ดขาด จะช่วยดับความอยากได้ดีทีเดียว

เวลาที่อยากกินกาแฟ ลองดื่มชามะตูมกับชาตะไคร้ ไม่ใส่น้ำตาล ด้วยกลิ่นฉุนของมะตูมและตะไคร้จะช่วยลดความเปรี้ยวปากในการอยากกินกาแฟได้

สำหรับคนที่มีไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นโรคความดันโลหิตสูงลองกินชาใบหม่อน จะช่วยบรรเทาอาการได้



ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสุขภาพดี

ข้อดีข้อเสียของการออกกำลังกายแต่ละแบบ

ข้อดีข้อเสียของการออกกำลังกายแต่ละแบบ


วิธีลดความอ้วนที่ดีที่สุดก็คือการออกกำลังกายนี่เอง แต่การออกกำลังกายก็มีหลากหลายประเภทซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างๆ กันค่ะ เราควรจะรู้หลัก และสิ่งที่ไม่ควรทำในการออกกำลังกายแต่ละชนิด เพื่อจะได้ผลดีและปลอดภัยที่สุดในการออกกำลังกายนะคะ

วิ่ง
เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ให้ประโยชน์กับปอด หัวใจและกล้ามเนื้อ ข้อแนะนำในการวิ่งคือ ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนที่จะวิ่งเพื่อลดอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้ และควรวิ่งอย่างน้อย 20 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์

เดิน
เป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด เป็นการออกกำลังแบบแอโรบิกเช่นเดียวกับการวิ่ง การเดินถ้าก้าวขายาวๆ ก็จะได้การยืดกล้ามเนื้อ และหากเดินเร็วขึ้นก็จะได้กำลังกล้ามเนื้อขา ข้อแนะนำคือควรเดินเร็วๆ วันละ 30 นาทีให้ได้ 5 วันต่อสัปดาห์ สามารถแบ่งช่วงเดินได้นะคะ คืออาจจะแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงละ 10 นาทีค่ะ แต่ละช่วงไม่ควรต่ำกว่า 10นาทีนะคะและต้องเดินเร็วๆ ไม่ใช่เดินเล่น เดินทอดน่องนะคะ จะไม่ได้ผลอะไรค่ะ

ขี่จักรยาน
เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ใช้กล้ามเนื้อขาเพิ่มขึ้น ให้ประโยชน์กับปอด หัวใจและกล้ามเนื้อ เช่นเดียวกับการวิ่ง แต่ได้น้อยกว่าการวิ่งค่ะ

แร็คเก็ตสปอร์ต
ได้แก่แบดมินตัน เทนนิส สควอช เป็นการออกกำลังกายที่ผสมระวห่างแอโรบิกกับแอนแอโรบิค คือมีหยุดเป็นช่วงๆ ได้ประโยชน์กับหอดและหัวใจ ความแข็งแรงกล้ามเนื้อ แต่มีโอกาสบาดเจ็บเนื่องจากมีการกระแทกลงน้ำหนัก การบิดข้อต่อต่างๆ คนที่อายุมากไม่ควรเล่นกีฬาประเภทนี้ทุกวัน

กอล์ฟ
เป็นการออกกำลังระดับเบาถึงปานกลาง ซึ่งการออกกำลังกายด้วยการเล่นกอล์ฟเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับคนสูงอายุ แต่หากเป็นคนวัยกลางคนลงมาถึงวัยรุ่น การเล่นกอล์ฟอย่างเดียวไม่เพียงพอค่ะ ข้อควรระวังในการเล่นกอล์ฟคือกล้ามเนื้อต้องแข็งแรงและยืดเหยียดดีพอสมควร

พิลาทิส
เป็นการออกกำลังกายที่เน้นเรื่องความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงลำตัวทั้งหมด เน้นเรื่องการวางท่าทางที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันมีแหล่งฝึกพิลาทิสจำนวนมาก สามารถฝึกได้ด้วยตนเองค่ะ

ชี่กง ไทชิ
ถือว่าเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เพราะมีความต่อเนื่อง และได้ความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังได้ฝึกความสมดุลของร่างกายและสมาธิ ปัจจุบันการออกกำลังกายประเภทนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

โยคะ
เป็นที่นิยมอย่างมากทั่วโลก และเป็นการออกกำลังกายที่ดี ได้ความยืดคลายกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสูง มีข้อควรระวังคือคนสูงอายุควรได้รับการฝึกจากขั้นพื้นฐานอย่างถูกต้อง ไม่เช่นนั้นอาจได้รับการบาดเจ็บได้

การออกกลังกายแต่ละอย่างมีประโยชน์ต่างๆ กันไปนะคะ ควรออกกลังกายแบบผสมผสานกันไปหลายๆ แบบค่ะ

เคล็ดลับการกินตลอดวัน แต่ไม่อ้วน

เคล็ดลับการกินตลอดวัน แต่ไม่อ้วน


คนที่อ้วนมักจะมีนิสัยที่ชอบกิน และมักจะกินอาหารหรือขนมตามใจปาก บางคนกินได้ทั้งวัน กินจุบกินจิบ จนน้ำหนักเกิน วันนี้เลดี้ทิปมีเคล็ดลับที่จะช่วยให้คนที่ชอบกินทั้งวันแบบนี้กินได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักที่จะเกินเลยค่ะ

* กินผักและผลไม้ทุก 2-3 ชั่วโมง
การกินผักและผลไม้ตลอดวันจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และยังช่วยลดน้ำหนักได้ครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์โดยที่เรายังไม่ทันรู้ตัวเลยค่ะ เพราะผักและผลไม้มีสาร phytonutrients และเมล็ดผักบางชนิดยังช่วยป้องกันเชื้อโรคได้อีกด้วยค่ะ ดังนั้นเราจึงควรกินผักและผลไม้ 3-4 มื้อต่อวัน ยิ่งกินมากยิ่งดี แต่อย่างไรก็ตามนะคะ ไม่ควรกินผักผลไม้ที่มีน้ำตามมากมากจนเกินไปนะคะ เช่น ทุเรียน องุ่น มะม่วงสุก เป็นต้น

* กินประเภทไฟเบอร์ หรือเมล็ดธัญพืช
ธัญพืชนั้นมีประโยชน์ช่วยในการเต้นของหัวใจ ป้องกันโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน และยังช่วยลดน้ำหนัก ดังนั้นในมื้ออาหารแต่ละมื้อควรจะมีไฟเบอร์หรือธัญพืชทุกมื้อ เช่น ขนมที่มีข้าวโอ๊ตอย่างน้อย 2 กรัม และในแต่ละวันควรทานธัญพืชอย่างน้อย 25-35 กรัม และยิ่งเป็นเมล็ดที่ไม่ผ่านการสกัดยิ่งมีประโยชน์ค่ะ และยังช่วยให้อิ่มนานอยู่ท้องด้วยนะคะ

* กินโปรตีนอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งต่อวัน
สารที่อยู่ในโปรตีนอย่างกรดอมิโนจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระตุ้นฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวและเผาผลาญแคลอรี่

* กินของหวานหลังมื้อาหารทุกวัน
คุณจะลดความอ้วนอย่างได้ผลถ้าคุณกินของหวานถูกเวลาคือกินได้หลังมื้ออาหารเท่านั้น และของหวานนั้นต้องเป็นน้ำตาลฟรุกโตสจากผลไม้ น้ำตาลเทียม หรือน้ำเชื่อมจากข้าวโพด ไม่ใช่กินของหวานเป็นของว่างนะคะ แบบนี้อ้วนแน่นอนค่ะ

กรุ๊ปเลือด กับอาหารต้องห้าม

กรุ๊ปเลือด กับอาหารต้องห้าม

คราวนี้มาดูกันดีว่า กรุ๊ปเลือดอะไรควรและไม่ควรรับประทานอะไรบ้าง


กรุ๊ป O
ถือว่า เป็นเลือดกรุ๊ปแรกของมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกของโลกที่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์เป็นอาหาร ดังนั้น คนที่มีเลือดกรุ๊ป O จะมีสุขภาพแข็งแรงดี สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด เพราะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยโปรตีนได้ง่าย

แต่มักมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานไม่ดีนัก ดังนั้น อาหารที่เลือกรับประทาน ได้แก่ เนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมันมาก โดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคแผลเน่าเปื่อย หรือเกิดการอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่นๆ อีกด้วย ดังนั้น การรับประทานเพื่อบำรุงจึงขาดกันไม่ได้

ควรเลือกรับประทาน ผักใบเขียวเพื่อได้รับวิตามินเค จะช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น นอกจากผักใบเขียวแล้ว คนกรุ๊ปเลือดนี้ ควรรับประทาน มะเขือเทศ แครอท และน้ำผลไม้รวม เพื่อเพิ่มเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา และควรออกกำลังกายที่ใช้พลังงานมาก เช่น การแอโรบิค ว่ายน้ำ จะทำให้ช่วยคุมน้ำหนักให้คงที่ได้เป็นอย่างดี


กรุ๊ป A
กลุ่มเลือดนี้เกิดขึ้นในช่วงหมดยุคสมัยแห่งการล่าสัตว์ มนุษย์เริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งและรู้จักการเพราะปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารแทนเนื้อสัตว์ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้จึงเหมาะกับอาหารประเภทข้าว แป้ง และผัก ผลไม้เป็นที่สุด

ข้อควรจำ คือคนเลือดกรุ๊ป A จะอ่อนไหวต่อโรคมะเร็งมากกว่า หมู่อื่นๆ ควรลดหรือละเว้น นม เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของเลือดกรุ๊ป A เอง และเนื่องจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดต่ำ คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงไม่ควรรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และอาหารสำเร็จรูปที่มีสารไนไตรท์มาก อาหารที่ควรเลือกรับประทานได้แก่ อาหารทะเล ผักต่างๆและธัญพืช เช่น ซีเรียลโฮลวีท ที่มีใยอาหาร ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร วิตามินบี เพื่อช่วยการทำงานของระบบประสาท และเม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง

ข้อควรระวังสำหรับคนกรุ๊ปเลือดนี้ คือความเครียด การออกกำลังกาย ที่ใช้พลังงานมาก กลับยิ่งเพิ่มความเครียดให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จึงควรฝึกโยคะ นั่งสมาธิ ตีกอลฟ์ หรือเต้นระบำเพื่อรักษาสมดุลตามธรรมชาติ


กรุ๊ป B
พวกที่อยู่ในกลุ่มเลือดกรุ๊ป B ถือว่าเป็นเลือดที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นอันดับสามของมนุษย์ เป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มทำการเกษตรเป็นแล้ว ก็เริ่มนำสัตว์มาเลี้ยงและรับประทานเนื้อ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงรับประทานได้หลากหลาย ทั้งเนื้อ นม ไข่ ผัก ผลไม้

แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีไปเสียหมด เพราะจุดอ่อนอยู่ตรงที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ดังนั้ นจึงควรเสริมอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ข้าวกล้อง นมและผลิตภัณฑ์จากนม อย่างการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ ทำจากนม สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าท้องไส้จะปั่นป่วน หรือท้องเฟ้อเรอเหม็น เปรี้ยว อย่างคนกรุ๊ปเลือด A

ส่วนการออกกำลังกาย สามารถทำได้หลากหลายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แอโรบิค ว่ายน้ำ กอล์ฟ หรือแม้แต่โยคะ

กรุ๊ป AB
มาถึงเลือดกรุ๊ปสุดท้ายที่เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์เรา พบว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 1,000 กว่านี้เอง จะมี 2 ลักษณะในตัว คือเป็นได้ทั้ง แบบกรุ๊ป A และกรุ๊ป B จึงสามารถรับประทานได้ทั้ง 2 กรุ๊ปเลือดตามใจชอบ

แต่ควรที่จะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก และเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เนื่องจากน้ำย่อยมีความเป็นกรดต่ำ จึงทำให้ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ไม่ค่อยดีนัก มักจะมีกรดเกิดขึ้นมาก ในท้องส่วนล่าง หรือลำไส้ใหญ่ อาจสังเกตได้ง่ายๆ ถ้ามีอาการผิดปกติ คือ จะเรอบ่อย

อาหารที่ควรรับประทาน เช่น อาหารทะเล ผักสด เต้าหู้ ผลไม้จำพวกส้มโอ องุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโยเกิร์ต เนื่องจากจะช่วยในการย่อย กระเพราะอาหารไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป และควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อขับไล่ของเสียในร่างกายที่มีมากกว่าคนกรุ๊ปอื่น ซึ่งเป็นเพราะความซับซ้อนทางด้านชีวเคมี ส่วนการออกกำลังกาย เลือกที่ทำให้จิตใจสงบมีสมาธิ อย่างเช่น โยคะ ยิงธนู เป็นต้น

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมพิจารณาก่อนส่งอาหารจานอร่อยเข้าปาก และดำเนินชีวิตให้เกิดสมดุลตามธรรมชาติ เพราะปัญหาสุขภาพเรื้อรัง บางชนิด ไม่อาจรักษาให้หายขาดด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่ทำได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคเสียใหม่ ...

นม - มัจจุราชเงียบ


นม - มัจจุราชเงียบ

ใครๆ ก็แนะนำให้ดื่มนม นมมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นความจริงที่สำหรับคนเราในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะตอนนั้นข้าวของทุกอย่างแพงหมด เพราะขาดแคลน คนที่มีเงินเท่านั้นจึงจะได้กินดีอยู่ดี ได้รับโปรตีนมากกว่า ทำให้มีสุขภาพดีกว่าคนที่ขาดอาหาร ขาดโปรตีน

แต่ในสมัยนี้มันเปลียนไปแล้ว เพราะคนส่วนมากจะเกิดภาวะการบริโภคเกินซะมากกว่า และที่สำคัญโปรตีนที่คนส่วนใหญ่ได้มา ส่วนหนึ่งก็มาจากการดื่มนมนั่นเอง ในนมมีอะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทั้งที่ในนม มีไขมัน โปรตีน และแคลเซียม ไขมันในนมเป็นไขมันจากสัตว์ ซึ่งอุดมไปด้วยโคเลสเตอรอล เป็นไขมันอิ่มตัว เราอุตส่าห์หนีน้ำมันหมู แล้วยังมากินนมเอาโคเลสเตอรอลเข้าไปอีกหรือ คนที่วิจัยเรื่องนี้ ก็คือ The Milk Industry Foundation บอกว่า คนกินนมแล้วเสี่ยงต่อโรคอ้วน บริษัทนมจึงแก้ปัญหาด้วยการทำนมพร่องไขมัน ซึ่งก็ยังมีไขมันเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง

จากข้อสังเกตที่ว่า คนอเมริกันกินนมเยอะที่สุด และมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินพ่วงตามมาด้วย ผู้ชายอ้วน 27% ผู้หญิง 46% ในขณะที่สถิติเรื่องอ้วนในคนไทยมีแค่ประมาณ 20% ทั้งหญิงและชาย

เรื่องเบาหวานในคนอเมริกันก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ ขอกระซิบเบาๆ ว่า คนอเมริกันเป็นเบาหวานมากกว่าคนไทย 3 เท่าเชียวนะ สถิติโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ในคนอเมริกันล้วนแล้วแต่สูงกว่าคนไทยทั้งสิ้น น่าแปลกที่ฝรั่งที่มาสอนให้เราดื่มนมป้องกันกระดูกพรุน กลับมีอัตราเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนมากกว่าเราเกือบ 9 เท่า !

จึงมีคนเอะใจว่า การกินอาหารแบบอเมริกันน่าจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราเจ็บป่วยเสียแล้ว และเรื่องนมวัวก็ไม่หลุดรอดจากการตรวจสอบไปได้ ผลจากการตรวจสอบเราพบว่าปัญหาจากนมวัวเกิดเพราะสถานการณ์ต่างๆ ในโลกได้เปลี่ยนไป

สุขภาพคนไทยเปลี่ยนจากทุโภชนาการเป็นโภชนาการล้นเกิน

สถานการณ์แรกที่ต้องคิดถึงก็คือ การรณรงค์ให้ดื่มนมวัวเริ่มสมัยหลังสงครามโลกใหม่ๆ สมัยนั้นเป็นสมัยที่คนไทยยังขาดอาหารอยู่ มีภาวะทุโภชนาการอยู่ทั่วไป แต่ปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม คนไทยมีอาหารการกินอย่างเหลือเฟือ จนโรคอ้วนถามหากันเป็นทิวแถว การมาส่งเสริมให้ดื่มนมกลับเป็นการซ้ำเติมโรคอ้วนให้แย่ลงไปอีก

มีวิจัยว่า นมวัวเป็นสาเหตุของโรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจหลอดเลือด แม้ว่าคุณจะดื่มนมพร่องไขมันแล้วก็ตาม แต่คำว่าพร่องไขมันในที่นี้ เป็นการเล่นคำ เพราะพร่องไขมันก็คือยังมีไขมันอยู่ แต่น้อยกว่าปกติเท่านั้นเอง

มีการนำเอาเด็กนักเรียนโรงเรียนนานาชาติในจังหวัดเชียงใหม่มาตรวจหาระดับไขมันในเลือดดู พบว่าเด็กเหล่านี้ที่ถูกเลี้ยงดูให้กินนมต่างน้ำ มีไขมันสูง ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีสูงถึง 25% อายุ 6-15 ปีมีถึง 70% และระดับไขมันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ นั่นหมายความว่าเด็กเหล่านี้เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว เขาก็มีปัญหาไขมันอุดตันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นมวัวเพิ่มความเสี่ยงต่อภูมิแพ้ - ไซนัสอักเสบ - หอบหืด

นมวัวเพิ่มความเสี่ยงต่อภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ และหอบหืดในคนไทยด้วย เพราะว่าพันธุกรรมของคนไทยนั้นมักจะแพ้ต่อนมวัว เคยมีการวิจัยในอาสาสมัครคนไทยที่ให้ดื่มนมวัวแล้วนำมาส่องดูเยื่อบุโพรงจมูกและเยื่อบุลำไส้ พบว่าคนเหล่านี้มีอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูกและลำไส้ถึง 100%

ดื่มนมเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

เนื่องจากนมเป็นสาเหตุที่สำคัญของไขมันในเลือดสูง ดังนั้นนมจึงมีส่วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วย ทั้งนี้นิ่วในถุงน้ำดีบางส่วนเกิดจากการที่มีสมดุลของน้ำดีและไขมันผิดปกติ ทำให้น้ำดีตกตะกอนเป็นนิ่วได้

ดื่มนม...มะเร็งอาจถามหา

นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1950-1975 หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม นักวิจัยชาวญี่ปุ่นพบว่าคนญี่ปุ่นดื่มนมเพิ่มขึ้น 15 เท่า กินเนื้อสัตว์เพิ่ม 7.5 เท่า ผลก็คือในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้หญิงญี่ปุ่นป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้มากกว่าเดิม 300% ซึ่งตรงกับงานวิจัยของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติอเมริกาที่ว่า อาหารไขมันอิ่มตัวสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม

การประชุมกองทุนวิจัยมะเร็งโลก (WCRF) และสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐ (AICR) ก็มีงานวิจัยการสรุปออกมาเหมือนกันว่านมเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของมะเร็ง แต่ด้วยความเกรงใจบริษัทที่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ ก็เลยมีการแก้ไขถ้อยคำให้รุนแรงน้อยลงหน่อยว่า นมอาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็ง

นมไม่ใช่แหล่งอาหารที่ดีที่สุด

การวิจัยว่าการที่ชาวตะวันตกเกิดโรคมากมายมีผลมาจากการดื่มนม 150 ลิตร/ปี หรือเฉลี่ยคือการดื่มนมมากเกิน 1.6 แก้ว/วัน แต่อย่าลืมนะว่าฝรั่งน่ะตัวใหญ่กว่าเรานะ ดังนั้นการออกมารณรงค์ให้คนไทยที่ดื่มนมวันละ 1 แก้วก็นับว่ามากจนเกินไป

จะกินดื่มอะไร ถ้าไม่ให้ดื่มนม(วัว)

มีคนถามว่า ถ้าการดื่มนมวัวน่าจะเกิดโทษมากกว่าเกิดประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นเราจะกินดื่มอะไรกันดี

เด็ก นมแม่มีประโยชน์ที่สุด การเข้ามาของผลิตภัณฑ์นม ทำให้แม่ลดการให้นมลูกเองเหลือเพียง 4 % กรณีที่แม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน แม่สามารถกลับมาป้อนนมได้ในตอนเย็นและค่ำ หลังจากนั้นปั๊มน้ำนมเก็บใส่ตู้เย็นไว้ เพื่อให้คนที่บ้านป้อนเด็กในตอนกลางวัน

การให้นมแม่ประหยัดเงินได้มาก ลูกมีภูมิต้านทานดี ไม่เจ็บป่วยง่าย เด็กที่เติบโตด้วยนมแม่จะอารมณ์ดี

นมวัวมีกรณีให้เลือกสถานเดียว คือกรณีที่แม่ไม่มีน้ำนมพอให้ลูก ก็อาจพิจารณาให้นมวัวที่ปรับสภาพให้ใกล้เคียงนมแม่ ให้ดื่มจนครบ 1 ขวบแล้วให้เลิกเสีย โดยให้กินอาหารอย่างอื่นแทน อีกทางหนึ่งคือ ให้เลี้ยงลูกด้วยนมถั่วเหลือง โดยเฉพาะพ่อแม่ที่มีประวัติเป็นภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเกิดภูมิแพ้มากขึ้นถ้าให้ดื่มนมวัว

ส่วนเด็กเล็กและเด็กโตกินอาหารธรรมชาติ โดยไม่ต้องดื่มนม แต่ถ้ายังไม่สบายใจ พ่อแม่ก็อาจจะให้ลูกดื่มนมถั่วเหลือง ซึ่งก็มีโปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว ถ้าจะเปรียบเทียบแหล่งโปรตีนแล้ว กินหมูกินไก่ก็ได้โปรตีนทั้งคุณภาพและปริมาณ
- นมวัว 1 แก้ว ให้โปรตีน 8.5 กรัม
- นมถั่วเหลือง 1 แก้ว ให้โปรตีน 7 กรัม
- น่องไก่ 1 ชิ้น ให้โปรตีน 18.8 กรัม

หญิงมีครรภ์ หญิงมีครรภ์ต้องการแคลอรี โปรตีน กรดไขมันจำเป็น แคลเซียม ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก วิตามินต่างๆ แต่คุณแม่ต้องรู้ว่าไม่ต้องการสารเหล่านี้เป็น 2 เท่า เพราะเด็กในครรภ์ตัวเล็กกว่าแม่ 15 เท่า ถ้าขืนกินเข้าไปแบบยัดทะนาน ก็รังแต่จะไปพอกพูนที่ตัวแม่ การดื่มนมอย่างมากมายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แม่อ้วนหลังคลอด

แคลอรีที่ดีต้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้องซึ่งจะใช้เป็นเรี่ยวแรงได้อย่างหมดจด
โปรตีน ถ้ากินไก่ ไข่ หมู กุ้ง ปลา ก็ได้โปรตีนเพียงพอ สามารถดื่มนมถั่วเหลือง และข้าวกล้องก็ให้โปรตีนด้วย
- เนื้อไก่ส่วนอก 1 ชิ้น (100 กรัม) ให้โปรตีน 11 กรัม
- ไข่ไก่ 1 ฟอง ให้โปรตีน 10 กรัม
- ปลา 1 ชิ้น (100 กรัม) ให้โปรตีน 21 กรัม
- หมูเนื้อแดง 1 ขีด ให้โปรตีน 14 กรัม
- เต้าหู้ 100 กรัม ให้โปรตีน 13.3 กรัม
- นมถั่วเหลือง 1 แก้ว ให้โปรตีน 7 กรัม
- ข้าวกล้อง 2 ทัพพี ให้โปรตีน 15.6 กรัม

แคลเซียม อาหารไทยมีแคลเซียมมากมายไม่ต้องพึ่งนมวัว เช่น กุ้งแห้ง กุ้งฝอย ปลากรอบ มีปริมาณแคลเซียมสูงกว่านม 13-23 เท่า ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์กินเต้าหู้วันละ 1 แผ่น กับกุ้งชุบแป้งทอดวันละ 1 ชิ้น เท่ากับได้ดื่มนมวันละ 2 แก้ว

ธาตุเหล็ก ใช้สร้างเม็ดเลือดแดง เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ถั่วงอก ผักบุ้ง ผักใบเขียว

กรดโฟลิก ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และสำคัญในการพัฒนาระบบประสาท มีมากในผักใบเขียว แคนตาลูป แครอท ตับ ไข่แดง ฟักทอง ถั่วต่างๆ

วิตามิน เกลือแร่ และสารผัก ช่วยจรรโลงขบวนการเคมีทั้งในแม่และทารก ช่วยเสริมภูมิต้านทาน เป็นฮอร์โมนเสริมสำหรับบำรุงครรภ์ มีในผักสด ผลไม้ต่างๆ ต้องรู้จักกินผักให้หลากหลาย ผักพื้นบ้าน เครื่องแกง เครื่องสมุนไพรต่างๆ

กรดไขมันจำเป็น ช่วยเสริมระบบฮอร์โมน ระบบสืบพันธุ์ให้ทำงานดี ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอยู่ในน้ำมันปลา น้ำมันดอกพริมโรส น้ำมันเมล็ดฝ้าย

ถ้าคุณแม่ต้องการดื่มนม ให้ดื่มนมถั่วเหลือง พร้อมโรยงาดำคั่ว วันละ 1-2 แก้ว ก็จะได้ทั้งโปรตีนและแคลเซียมเพียบพร้อม

สำหรับสตรีวัยทอง และผู้สูงอายุ ที่เสี่ยงต่อโรคกระดูกผุ เป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์นมแคลเซียมสูง สำหรับอาหารไทยเรา มีแคลเซียมอยู่มากมายดังเช่น ปลาร้าผง กุ้งแห้งตัวเล็ก กะปิเคย งาดำคั่ว กุ้งฝอยน้ำจืด ถั่วแดงหลวง ใบชะพลู มะขามฝักสด แคยอดอ่อน ผักกระเฉด สะเดายอดอ่อน เม็ดบัวดิบ ถั่วเน่าแห้ง เต้าหู้ขาวอ่อน ผักคะน้า ถั่วเหลือง ปลาไส้ตัน จะเห็นได้ว่าถ้าขยันกินอาหารไทยๆ จะไม่ขาดแคลเซียมทั้งคนทั่วไป และผู้สูงอายุเลิกดื่มนม(วัว)เสียแต่วันนี้ ร่างกายแข็งแรง ไร้โรคภัยแน่นอน

วิธีดื่มน้ำรักษาโรค จากหนังสือพิมพ์จีน

วิธีดื่มน้ำรักษาโรค จากหนังสือพิมพ์จีน

วารสารทางการแพทย์ บอกว่าเมื่อตื่นนอนตอนเช้า ความเข้มของโลหิตยังสูงและมีผลต่อระบบ ความดันโลหิตในร่างกาย แพทย์แนะนำว่าทันทีที่ตื่นนอนให้ดื่มน้ำทันทีหนึ่งแก้ว เพื่อลดความเข้มของโลหิต พวกเราลองดูละกัน อีกอย่างที่พบมาก็คือ ท่านพุทธทาสก็ทำแบบนี้เหมือนกัน

เมื่อเร็วๆ นี้ มีคนมากมายส่งเสริมวิธีดื่มน้ำ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์ นี่เป็นแบบนิยมอันดีงามอย่างหนึ่ง ชีวิตที่ดำรงอยู่ได้นอกจากอากาศที่บริสุทธิ์ก็คือน้ำ

น้ำหนักตัวของคนเรา 2 ใน 3 ส่วนเป็นน้ำจึงมีคนว่าคนประกอบด้วยน้ำ อันที่จริงน้ำสามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายของคนได้ สามารถทำให้ไตทำงานเป็นปกติขับถ่ายสิ่งโสโครกให้ออกจากร่างกายได้

นายแพทย์แนะนำบ่อยๆ ว่าดื่มน้ำให้มากทุกๆ วัน วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ตามที่ได้ทดสอบมาแล้วได้ผลดี ตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ล้างหน้า ไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้ว (ขวดวิสกี้บรรจุได้ 3 แก้ว) หรือน้ำหนักของน้ำ 1.26 ก.ก.เท่ากับ 5 แก้วรวดเดียว จะรู้สึกหายใจเหนื่อยอึดอัดไปหน่อย หลังจากนั้นจะปัสสาวะบ่อยๆ การปฏิบัติยากลำบากเช่นนี้ หากผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นอาจจะเลิกเสียกลางคัน ผู้ที่ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังมิได้ทุกเช้าควรปฏิบัติดื่มน้ำรักษาโรคแทนการออกกำลังกาย เชื่อมั่นได้ว่าจะต้องปราศจากโรค ชีวิตยั่งยืนอย่างไม่ต้องสงสัย

ในระยะนี้มีผู้ใจบุญพิมพ์คำอธิบายวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ส่งไปให้เพื่อนฝูง เพื่อนที่ได้รับรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งการที่ช่วยซึ่งกันและกันแบบนี้ ควรจะเผยแพร่ให้มากขึ้น ผู้เขียนยินดีให้ "วิธีดื่มน้ำรักษาโรคของจีนนี้เปิดเผยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสค้นคว้าและทดลอง" ได้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความเป็นจริงได้ผลอย่างนี้แน่นอนเนื่องจากทำให้ลำไส้ให¬ญ่ผลิตโลหิตใหม่มากขึ้น ซึ่งโลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้นจากฝอยคล้ายสักหลาดที่อยู่ในลำไส้ให¬ญ่ซึ่งทำหน้าที่ดูดธาตุอาหารต่างๆ ผลิตให้เป็นเม็ดโลหิต เนื่องจากลำไส้เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจางมีอาการรู้สึกเพลียและเป็นโรค เป็นการรักษายาก ลำไส้ของใหญ่¬่ยาว 8 เมตร ทำหน้าที่ดูดธาตุต่างๆ จากอาหาร ถ้าลำไส้สะอาดอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปผ่านการย่อยแล้วดูดไปผลิตให้เป็นโลหิตใหม่เป็นการเร่งให้เกิดพลังงานในร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้น โรคต่างๆ จะหายไปเองอายุก็ยั่งยืน มหาวิทยาลัยตามมณฑลต่างๆ ในประเทศจีนได้ผ่านการทดลองและประกาศเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกัน

วิธีดื่มน้ำรักษาโรคสามารถรักษาโรคดังต่อไปนี้ คือ ท้องผูก ปวดหัว เวียนศีรษะ โลหิตจาง โรคประสาท ความดันโลหิตสูง อัมพาตทั้งกาย เป็นลม ปากเบี้ยว โรคปวดตามข้อ โรคอ้วนพี ปวดในกระดูกเส้นเอ็น ปวดเมื่อย หูอื้อ ใจเต้น มือเท้าอ่อนเพลีย โรคไอ โรคหืด หอบ หลอดลมอักเสบ วัณโรค เยื่อสมองอักเสบ โรคตับ โรคไต เป็นนิ่ว กรดเปรี้ยวในกระเพาะอาหารมากเกินไป กระเพาะอืด กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรัง โรคบิด โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน สายตาอ่อน โรคตาต่างๆ ตาออกเลือด สตรีประจำเดือนไม่ปกติ ระดูขาว มะเร็งในมดลูก มะเร็งเต้านม จมูกอักเสบ เจ็บคอ และโรคผิวหนังต่างๆ

ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ผ่านการทดลองดื่มมาแล้ว
1. ผู้เขียนได้พบกับผู้ชราที่มีสุขภาพอย่างสมบูรณ์ ได้ทักทายกับท่าน ถามท่านว่าเคยเจ็บไข้หรือเปล่า ท่านตอบว่าหลายสิบปีมาแล้วไม่เคยเจ็บไข้มาเลย ท่านกล่าวว่าตอนที่อายุ 20ปี กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรังนอนอยู่กับที่นานถึง 10 ปี ได้ผ่านการตรวจจากนายแพทย์ 5 ท่าน รักษาฉีดยา รับประทานยา ไม่ได้ผล ต่อมามีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้แนะนำว่าคุณควรทดลองดื่มน้ำสุกอย่างนี้ ตื่นแต่เช้าหน้าไม่ล้าง ปากไม่บ้วน ดื่มน้ำสุก 5 แก้วทุกๆ วัน อย่าให้ขาดตอน และห้ามไม่ให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอน นายแพทย์สั่งเสร็จก็กลับไปโดยไม่ให้ยาไปกิน วันรุ่งขึ้นผมก็ทำตามนายแพทย์สั่ง ดื่มน้ำ 5 แก้วรวดเดียว ในหนึ่งชั่วโมงปัสสาวะ 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็รับประทานข้าวต้ม รู้สึกรสชาติของข้าวต้มอร่อยกว่าที่แล้วๆ มาวันที่สองดื่มน้ำ 5 แก้วอีกถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดดำปนอยู่มากต่อจากนั้นสามเดือนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก 10 ก.ก. เวลานี้ผมอายุ 64 ปีแล้ว นับแต่ได้ปฏิบัติดื่มน้ำมายังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แม้แต่หวัดก็ไม่เคยเป็น

2 เมื่อผมยังเป็นเด็กเคยเป็นเยื่อสมองอักเสบ นายแพทย์สั่งให้ดื่มน้ำ 5 แก้วทุกวัน ไม่นานเยื่อสมองที่อักเสบก็หายไปเอง ภรรยาผมเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นโรคหัวใจและเป็นโรคอ้วนเกินไป ร่างกายสูงไม่เกิน 5 ฟุต น้ำหนักตัว 120 ก.ก. พอดื่มน้ำได้ 15 วัน โรคหัวใจ โรคประสาท โรคเข็ดเมื่อยก็ค่อยๆ ดีขึ้น ดื่มน้ำได้สองเดือนน้ำหนักตัวลดลงไป 16 ก.ก. เมื่อก่อนเราต้องใช้ยาประจำ นวดไฟฟ้า และรักษาด้วยวิธีเข็มแทงแบบหมอจีนก็ไม่หาย แต่เวลานี้หายไปหมดแล้วจากการดื่มน้ำ

3. อาจารย์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเคยแถลงการณ์ร่วมสองครั้ง เกี่ยวกับฝอยคล้ายสักหลาดในลำไส้ผลิตโลหิตขึ้น จนเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครโต้แย้งเลย ไม่ว่าโลหิตจะมาจากไหน แต่ธาตุต่างๆ จะต้องมาจากอาหารอย่างแน่นอน เมื่ออาหารลงไปถึงกระเพาะแล้วผ่านการย่อยลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ธาตุส่วนมากกลายเป็นของเหลว เมื่อลำไส้ยาว 8 เมตร ดูดธาตุต่างๆ เสร็จก็จะส่งไปสู่ลำไส้ออกของที่ทวารหนักซึ่งเป็นของที่ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกาย

4. กระเพาะเป็นแผลเน่า ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล โรคความดันโลหิตสูง ดื่มน้ำ 1 เดือนเริ่มเห็นผล กระเพาะบิด 3 เดือนเริ่มเห็นผล ท้องผูก 3 วันก็เห็นผล ท้องเป็นบิดกับปัสสาวะกลางคืนบ่อยๆ ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล เข็ดเมื่อยตามข้อ 3 เดือนเห็นผล ผู้สูงอายุเข็ดเมื่อยทั้งร่างกาย ดื่มน้ำ 2 เดือน เห็นผล โดยเฉพาะผู้ที่โลหิตคั่งอยู่ในสมอง เกิดเป็นลมขึ้นเป็นมายังไม่เกิน 3 เดือน ดื่มน้ำเพียงสัปดาห์เดียวก็หายเหมือนเดิม รับรองไม่พิการหรือเป็นอัมพาต

ผู้ที่ดื่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด หากดื่มน้ำประปา ควรจะใส่ขวดไว้แรมคืนให้ตกตะกอนเสียก่อนเพื่อป้องกันท้องร่วง เวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่หลังอาหารสองชั่วโมงไม่ควรดื่มอีก ก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้น และจำพวกแอปเปิ้ล ผู้ที่มีโรคประจำตัวดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้วไม่ใช่ของง่าย ดื่มน้ำเสร็จทางที่ดีใช้หรือออกกำลังสัก 20นาที คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จให้สูดอากาศเข้าปอดให้มากๆ และนวดที่บริเวณที่สะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้ให้สะอาด ดื่มน้ำวันแรกภายใน 1 ชั่วโมง จะปัสสาวะ 3 ครั้งติดๆ กัน แต่ต่อไป 3 - 4 วัน การถ่ายท้องจะเป็นปกติภายใน 7 - 8 วัน การปัสสาวะเป็นเพียงครั้งเดียว นับแค่นั้นไปจะรู้สึกร่างกายสบาย เวลารับประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระสะอาดแล้ว ผู้ที่หมดหวังแล้วจะรอดตายด้วยวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ นี้ จึงเขียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน ขอให้ทุกท่านจงปราศจากการไข้และป่วยต่างๆ


ข้อควรทราบ หลังจากอาตมาได้ทราบตามข้อนี้ และได้ปฏิบัติตาม รู้สึกว่าโรคต่างๆ ที่คนชราโดยมากเป็นอยู่บัดนี้รู้สึกว่าเริ่มสบายขึ้นเป็นลำดับเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมจึงขอยืนยันมาให้ทราบ เป็นการกุศลต่อไป ท่านที่รับหลักการนี้ไปปฏิบัติแล้ว ถ้ามีประโยชน์ดีควรเผยแพร่ต่อไปเพื่อเป็นการกุศล.

วันนี้คุณกินข้าวเช้าหรือยัง ขอบอกว่าสำคัญมาก

หมอที่โรงพยาบาลฯอบรมว่าทุกคนต้องกินอาหารเช้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้หลากหลาย เพราะเมื่อร่างกายไม่มีพลังงานจากอาหารเช้าไปใช้ ร่างกายจะดึงสารอาหารจากอวัยวะส่วนอื่นออกมา (ไม่ใช่ไขมัน ไขมันยังอยู่เหมือนเดิม)

ซึ่งภายใต้กระบวนการนี้จะเกิดกรดชนิดหนึ่งออกมาด้วย ซึ่งการที่เราบอกว่าไม่กินข้าวเช้า ก็ยังทำงานได้เป็นปกติมาตั้งหลายปีแล้ว นั่นคือ ร่างกายได้นำเอากรดที่เกิดขึ้นมาใช้แทนพลังงานทุกวัน เราจึงทำงานโดยใช้กรดแทนพลังงาน และเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดออกมาบ่อยๆ พออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง นอกจากนี้ เรารู้หรือไม่ว่า โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เราผลิตสารพิษอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา เป็นขยะ เหมือนรถที่เมื่อเติมน้ำมันเข้าไปแล้วก็จะมีควันออกมา ภาษาทางการแพทย์เขาเรียกขยะในร่างกายนี้ว่า สารอนุมูลอิสระ (oxidant) เกิดจากการสันดาปพลังงานของร่างกาย แล้วคายของเสียออกมา(ไม่ใช่อุจจาระนะ คนละแบบ)

นอกจากนี้ร่างกายจะเร่งผลิตสารอนุมูลอิสระอีกก็ต่อเมื่อเวลาเราเครียดหรือต้อง ทำงานหนัก ใช้สมอง ประกอบกับเจอมลภาวะต่างๆ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อุปนิสัยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ก็ยิ่งเป็นตัวสร้างให้เกิดสารพิษนี้มาก

การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอตอนกลางคืนเป็นหนทางและเวลาสำคัญที่ร่างกายจะสร้างสารต่อต้านสารอนุมูลอิสระ (anti-oxidant) ขึ้น เพื่อกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดตอนกลางวัน การนอนให้เพียงพอและหลับสนิทจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะการกำจัดของเสีย แต่ยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงของคนเราแข็งแรง สร้างฮอร์โมนเพศทำให้ร่างกายสมบูรณ์ มีน้ำมีนวล คุณหมอเอาภาพขยายเม็ดเลือดแดงของผู้จัดการชายอายุ 35 คนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้มาให้ดู เปรียบเทียบกัน 2 ภาพ ผู้ชายคนนี้เหมือนมนุษย์งานทั่วไป ทำงานหนักและเครียดขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ปรากฎว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงของเขามีลักษณะเป็นก้อนขยุกขยุย ไม่เป็นรูปทรงกลม เหมือนกลุ่มเม็ดเลือดแดงที่ควรเป็น เกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องจาสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจำนวนมาก ไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งก็จะนำมาซึ่งโรคร้ายจำนวนมากอย่างที่คนไทยกำลังนิยมอยู่ จงจำไว้ว่า

1.ทานอาหารเช้าแบบราชา อาหารกลางวันพอประมาณ และอาหารเย็นแบบยาจก หลีกเลี่ยงไขมันและของหวาน ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที(20 นาทีแรกร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต อีก 10-20 นาทีต่อมาร่างกายจึงจะค่อยเผาพลาญไขมัน)
2.นอนหลับ หรือ หลับนอนก็แล้วแต่ ให้เพียงพอ
3.รับแสงแดด ช่วง 8.00-9.00 ซึ่งมี UV ที่เป็นประโยชน์
4.พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวเราะ ขำขัน ถ้าบ้าได้ก็ดี ชีวีจะเป็นสุข

หมายเหตุ : สรุปบางส่วนจากการฟังสัมมนา ณ ร.พ.บำรุงราษฎร์
โดยน.พ.พันธุ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์

เมนูห้ามรับประทานขณะท้องว่าง

ก่อนที่จะรับประทาน ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อนนะคะ เพราะบางทีอาหารที่เราทานลงไปทั้งๆ ที่มีประโยชน์แต่ไม่ถูกเวลา ก็อาจส่งผลเสียบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ค่ะ ไปดูกันว่าอาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง

นมและนมถั่วเหลือง
แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสาร
ประเภทแป้งอยู่

เหล้า
หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

น้ำตาลหรืออาหารหวาน
ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะ
ท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชาที่แก่เกินไป
ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง
และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ
ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไป
รวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วย
เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุ
แมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไปเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือด
หัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม
เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก
การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

นอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกายใน
ขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อกเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย อย่าลืมสิ่งใดที่มีคุณอนันต์ก็
อาจมีโทษมหันต์เช่นกัน ถ้าคุณปฏิบัติอย่างผิดวิธี

สูตรเด็ดเพื่อหุ่นสุดเริ่ด แบบ 3 เดือนเห็นผล โดย อรนภา กฤษฎี

สูตรเด็ดเพื่อหุ่นสุดเริ่ด แบบ 3 เดือนเห็นผล โดย ม้า อรนภา กฤษฎี

ให้เวลากับตัวเองในเวลา 3 เดือน ตามตารางที่ดิฉัน กำหนดให้คุณ รับรองว่าเห็นผลแน่ ในการมีรูปร่าง หน้าตาที่สวยกว่าเดิม แต่ขอย้ำนะคะว่าคุณจะต้อง ซื่อตรง ต่อตารางที่ ดิฉันกำหนดให้ ดิฉันจะกำหนด ตารางเป็น 4 อาทิตย์ต่อเดือน ทั้งหมดก็จะเป็น 12 อาทิตย์ ในแต่ละอาทิตย์จะมีกิจกรรม ให้คุณทำครบ ถ้วน กระบวนความ

เป็นการดูแลตัวเองล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นการกิน การดูแลผิวพรรณ การออกกำลังกาย ไปจนถึงการเสริมความงามให้กับตัวเอง

ขอบอกไว้ก่อนว่า ไม่ยากหรอกค่ะ เพียงแต่คุณต้องจัดระเบียบให้กับตัวเอง มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่อีลุ่ยฉุยแฉก ปล่อยชีวิตให้กระจัดกระจายไปตามอารมณ์ ไร้ระเบียบแบบแผน พร้อมหรือยังคะ ที่จะทำตัวให้สวยภายในเวลา 3 เดือน ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มอ่านตารางที่ดิฉันจัดให้ ขอให้ละเอียดหน่อยนะคะในการอ่าน และพึงปฏิบัติด้วยล่ะ

อาทิตย์ที่ 1
1.เปลี่ยนนิสัยตัวเองให้ดื่มน้ำมากๆวันละ 8-10 แก้ว
2. หันมารับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เป็นพวกโยเกิร์ตหรือนม ที่มีแคลลอรี่ต่ำก็ได้ มีการจำกัด หารับประทานเนื้อดิบที่มีไขมันสูง เลือกรับประทานเฉพาะปลา หรือเป็ดไก่ที่ไร้หนัง เนยก็รับประทานได้ แต่ต้อง Low-Fat นะคะ และทั้งหมด ควรรับประทานพอประมาณ
3. เริ่มที่จะขัดผิวกายของคุณก่อนการอาบน้ำเป็นประจำทุกวัน เพื่อช่วย ให้มีการระบาย น้ำเหลืองให้หมุนเวียนไปตาม โครงสร้างของผิวทำให้ ทั่วร่าง เริ่มจากเท้าและฝ่าเท้าของคุณ ไปจบตรงแผ่นหลัง ให้แน่ใจเสมอว่า ทั่วถึง ทั้งเรือนร่างทุกครั้งที่ทำ
4. เริ่มว่ายน้ำอาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 20 นาที อย่างต่อเนื่อง

อาทิตย์ที่ 2
1. รับประทานผลไม้ให้มากขึ้น รับประทานผลไม้สดวันละ 2-4 มื้อ จะรับประทานเป็นผลหรือคั้นน้ำก็ได้ จำพวกผลไม้ผลเล็กๆหรือองุ่น ให้ได้จำนวนปริมาณน้ำ 2 ช้อนโต๊ะใหญ่ต่อวัน
2. เริ่มหัดเดินให้ไกลๆบ้าง อย่าเวลาคุณไปทำงาน ถ้าระยะทาง จากบ้านไปที่ทำงานไกลเกิน ก็ให้นั่งรถครึ่งเดินครึ่ง แต่ต้องเดินใน ที่ที่สบาย เพื่อการผ่อนคลาย มิฉะนั้นก็มีทางเลือกอย่างอื่น คือเดินสัก 20 นาที หลังมื้อเที่ยง ทำเช่นนี้สัก 3 วัน ใน 1 อาทิตย์ และทุกครั้งควรเดิน อย่าง คล่องแคล่วกระฉับกระเฉง
3. นัดช่างผมกรรไกรทองสำหรับ การเปลี่ยนทรงผมใหม่ หรือจะเล็มผมที่ ยาวแล้วก็ได้ และตั้งใจไว้เลยว่าคุณต้องทำเช่นนี้ทุกๆ 3 เดือน
4. เคลียร์ตู้กับข้าวของคุณซะใหม่ ให้ทิ้งสิ่งต่างๆที่เป็นส่วน ของการเพิ่ม ไขมัน ใหมีแผนการสำหรับการกินอาหารเพื่อสุขภาพเท่านั้น อย่างเช่น เนื้อ ปลาทะเลชิ้น บางๆ น้ำ หรือน้ำมันมะกอก ถ้าเป็นไปได้ ในตู้กับข้าว ตู้ใหม่ของ คุณจะต้องมีอาหารหรือเครื่องดื่ม ที่มีปริมาณ น้ำตาลต่ำ หรือไร้น้ำตาลไปเลย

อาทิตย์ที่ 3
1. เริ่มดูแลผิวพรรณ โดยการเข้าร้านเสริมสวยซะ โดยกรรมวิธีที่จะทำให้ ผิวพรรณ คุณ ดูนุ่มนวลดุจธรรมชาติ อย่างเช่นเอาพืชทะเล มาพันร่าง เพื่อ ทำให้ผอม พร้อมกับ ครีมที่มีกลิ่นหอมมานวดร่างคุณ หรือไม่ก็ขัด ผิวคุณ ด้วยพืชพรรณตามธรรมชาติ ผิวคุณก็จะดูผุดผ่องขึ้นมาทันตา
2. อาทิตย์นี้ก็อย่าลืมให้เวลากับการเดิน อาจจะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ตามสวนสาธารณะ หรือออกไปนอกเมืองไกลๆ แล้วใช้การเดินระยะยาว
3. ตรวจดูการรับประทานคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้ง อย่างขนมปัง ธัญพืช หรือผลไม้อย่างมะเขือเทศ คุณควรที่จะควบคุมการรับประทานอาหาร อย่างตั้งใจวันละ 6-8 มื้อ ขนมปังหั่นแผ่นบางๆสักชิ้น จะปิ้งหรือไม่ก็ได้ พวกธัญพืชสัก 3 ช้อนโต๊ะ ข้าวสัก 1 ช้อนโต๊ะ เส้นก๋วยเตี๋ยว หรือเส้น พาสต้า พร้อมใส่ไข่สัก 2 ฟอง กำลังดี
4. พยายามเลือก ข้าวซ้อมมือ ขนมปัง หรืออาหารจำพวกเส้นที่มีคุณภาพ ควรรับ ประทานเป็น อาหารบำรุง หรืออาหารเสริม เพื่อให้ร่างกาย มีพลังงานใช้ อย่างเต็มที่

อาทิตย์ที่ 4
1. ทำการบริหารหน้าท้อง เพื่อให้กล้ามเนื้อกระชับ โดยใช้วิธีง่ายๆ แต่ทำเป็นประจำตลอดอาทิตย์
- เริ่มด้วยการนอนราบไปบนแผ่นยางหนาสักหน่อย เพื่อกัน กระดูก ทิ่มพื้น ชันเข่าขึ้น ให้เท้าราบไปกับพื้น มือประสาน กันไว้ที่ท้ายทอย แล้วยกส่วนก้นขึ้นเนื้อพื้นพอประมาณ พร้อมทั้งกดเกร็งหน้าท้อง แล้วหายใจออกอย่างช้าๆ โดยหลังยัง ติดกับพื้นอยู่ หลังจากนั้นก็ค่อยๆวางลง แล้วหายใจเข้าเป็น การผ่อนคลาย
- ยังอยู่ในท่าเดิม แต่มือประสารกันไว้ที่ท้ายทอยเพื่อ พยุงคอ เอาไว้ ยกลำตัวขึ้น กดหน้าท้อง โดยการเกร็ง แล้วหายใจ ออกช้าๆ วางตัวนอนดังเดิม พร้อมหายใจเข้า ท่านี้เขาเรียกว่า sit up
- ในท่าเดียวกัน ยืดขาขวาให้ตรงกับลำตัว ในขณะที่ขาซ้ายยังชัน เข่าอยู่ แล้วงอเข่าขวามาที่หน้าอก พร้อมยกลำตัวขึ้นบิด ไปทาง ขวา โดยให้ข้อศอกซ้ายแตะเข่าขวา เกร็งหน้าท้องไว้ อย่าลืม หายใจ ออกด้วย ทำสัก 10-15 ครั้ง แล้วเปลี่ยนกลับไปทำอีกข้าง
2. ตรวจดูการดื่มแอลกอฮอล์ของคุณว่าอย่ามีมากกว่า 15 หน่วยต่ออาทิตย์ เพื่อความปลอดภัยสำหรับลูกผู้หญิงอย่างเรา 1 หน่วยเท่ากับไวน์ 1 แก้ว หรือเบียร์ครึ่งเหยือก แค่นี้กำลังงามค่ะ ภายใน 1 อาทิตย์
3. เลิกล้มความฝันสำหรับชุดว่ายน้ำหรือบิกินี่ คุณจะดูวิเศษที่สุดก็ต้อง หลังสองเดือนไปแล้ว เดือนที่ 2

อาทิตย์ที่ 5
1. เริ่มดื่มน้ำที่คั้นมาจากพืชชนิดที่มีใบ อย่างเช่นน้ำยี่หร่าผสมน้ำ เพื่อทำการกระตุ้นระบบการย่อยอาหารของคุณ จะดื่มหลังจากอาหารค่ำ ก็ได้ (ไม่ควรดื่มขณะตั้งครรภ์) ดื่มชาผลไม้ เพื่อทำให้การหมุนเวียน ของเลือดดีขึ้น การทำงานของไตก็จะดีขึ้นไปด้วย การดื่ม มิ้นต์ (peppermint) จะช่วยในเรื่องระบบการย่อยอาหารเช่นกัน
2. อาทิตย์นี้เดินให้มากขึ้นสัก 20-30 นาที ตลอดอาทิตย์ เพิ่มระยะทาง และความเร็วในการเดินให้มากขึ้นด้วย ก้าวแต่ละก้าวควรให้นุ่มนวล และเยือกเย็น เรียกว่า "มีสมาธิในการเดิน"
3. รับประทานผัก 3-5 มื้อต่อวัน เป็นผักรวมจานเล็กๆ ถ้าเป็นไปได้ควร เป็นผักสด
วิธีทำสลัด (วิธีทำสลัดสไตล์คุณม้า)
- หอมใหญ่ 1 หัว (ขาวหรือแดงก็ได้) ผัดขม ผักกาดหอม ผักชีฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่ง 1 กำ (ล้างและลอกเปลือกอย่างสะอาด)
- นำผักมาล้าง หั่นหอมใหญ่เป็นแว่นๆ แล้วตกแต่งให้สวยงามด้วยหน่อไม้ ฝรั่งกับผักชีฝรั่ง น้ำสลัด อย่างง่ายๆ 1 ช้อนโต๊ะสำหรับน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว พริกไทยป่น นิดหน่อย พริกหยวก บดละเอียด ผสมให้เข้ากัน แล้วราดลงบนผักสลัด ที่จัดเตรียม ไว้ รับรองอร่อยแน่

อาทิตย์ที่ 6
1. ต่อสู่เซลส์ผิวหนังด้วยการนวดตัวทุกวัน อันนี้เข้สถานบริการนวดตัว จะดีที่สุด อย่านวดด้วยตัวเองเลยค่ะ ลำบาก
2. ยังคงออกกำลังกายอยู่นะคะ และอย่าลืมยกน้ำหนักด้วยเวทข้างประมาณ 1-2 กิโล สองวันต่ออาทิตย์ บริหารหน้าท้องยังคงต้องทำอยู่สม่ำเสมอ นอนราบชันเข่า มือถือที่ยกนำหนักเอาไว้ ยกลำตัวขึ้น พร้อมกับยก น้ำหนักไว้ด้านหน้าให้สุดแขน และเมื่อเอาตัววางนอนลง ให้ค่อยๆวาง แขนลงช้าๆเหนือศรีษะ ทำสัก 8-15 ครั้ง อาทิตย์ที่ 6 แล้ว คงต้องทำให้มัน หนักหน่อย คิดว่าคุณๆก็คงจะชินแล้วในการซิทอัพ
ยืนตัวตรง ยื่นขาขวาไปข้างหน้าพร้อมงอเข่า ยกน้ำหนักขึ้นโดยการ งอข้อศอก แล้วย่อตัวลง เก็บขากลับมา ยืนไว้ในท่าแรก จากนั้นสลับมา ทำเหมือนเดิมกับขาข้างซ้ายบ้าง ท่านี้จะได้ทั้งกล้ามเนื้อขนด้านหน้า และขา ท่าลดต้นแขน ยืนตัวตรง มือทั้งสองข้างถือที่ยกน้ำหนักไว้ แล้วยก ขึ้นเหนือศรีษะ ค่อยๆวางลงไปด้านหลังศรีษะ โดยให้ข้อศอก ชิดใบหูทั้ง สองข้าง ยกขึ้น ยกลง กล้ามเนื้อบริเวณแขนด้านในจะกระชับ ไม่หย่อน ยาน
3. อาจจะเต้นแอโรบิกหรืออกกำลังกายตามส่วนต่างๆของร่างกาย ตามวิดีโอ การ บริหารร่างกายก็ได้นะคะ เลือกอันที่ดีๆหน่อยหรือไม่เช่นนั้น ก็ไปเต้น ตาม สถานบริหารร่างกาย ดิฉันว่าจะสนุกกว่า
4. เข้าเซาน่าหรือห้องอบไอน้ำ หลังจากนั้นก็นวดตัวซะด้วยเลย คุณๆลองทำ ตาม ตารางที่ดิฉันกำหนดให้ภายใน 6 อาทิตย์ดูสิคะ ว่าร่างกายคุณเริ่ม มีการเปลี่ยนแปลงขนาดไหน แต่การทำตามตารางต้องซื่อสัตย์ ต่อตัวเอง นะคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกิน การออกำลังกาย การดูแลผิวพรรณ รวมไปถึงทั้งตัว ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ตามที่ได้บอกไว้ข้างต้น รับรองว่า เห็นผลแน่

อาทิตย์ที่ 7
1. ออกกำลังกายอย่างมุมานะด้วยเครื่องมือการออกกำลังกาย เช่น การถีบจักรยานอยู่กับที่สม่ำเสมอ การเดินในระยะทางไกลๆ หรือการเต้นแอโรบิก
2. จัดเตรียมนำผลไม้และน้ำผักสดไว้ดื่ม พร้อมกับการกินวิตามิน ผู้เชี่ยวชาญของโลกเขาบอกว่า การลดน้ำหนักที่ดีที่จะให้เห็นผลถึง 70 เปอร์เซนต์นั้นก็คือ การดื่มน้ำผลไม่หรือน้ำผักสด เพราะจะทำให้ย่อยง่าย และดูดซึมภายในเวลาเพียงแค่ 10-15 นาที ควรดื่มเป็นประจำทุกวัน วันละ 1 แก้ว ถ้าเยื่อก็ลองน้ำแอปเปิ้ล น้ำกล้วย น้ำมะละกอ และน้ำลูกพรุน หรือจะทำเป็นผลไม้รวมแบบค๊อกเทลอย่างองุ่น(เป็นลูก) มะละกอ (เป็นชิ้น ) แอปเปิ้ล แครนเบอร์รี่ แล้วใส่น้ำส้มกับน้ำมะนาว ลงไป ก็จะทำให้รสชาติอร่อยยิ่งขึ้น สำหรับน้ำผักสด ผสมกันระหว่าง แครอท หัวผักกาดแดง และแตงกวา หรือขึ้นฉ่าย ผักกาดหอม และผักโขม
3. วินาที แล้วเปลี่ยนอีกขาหนึ่ง ทำเช่นนี้สัก 10 ครั้งต่อข้าง เดินในน้ำสัก 3 นาที จากด้านหนึ่งของ ขอบสระไปอีกด้านหนึ่ง แล้วเหสี่ยงแขนไปด้วยพร้อมๆกัน

อาทิตย์ที่ 8
1. ถึงเวลาของการปรับปรุงการวางท่าทาง โดยปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทาง ด้านการออกกำลังกาย ในหนึ่งครั้งต่อวัน ยืนกางขาเล็กน้อย งอเข่าพอ ประมาณ แผ่นหลังตรง น้ำหนักอยู่ที่ส้นเท้า ทั้งสองข้าง หายใจออก และยืดส่วนท้องบริเวณสะดือและส่วนของกระดูกสันหลังขึ้น แขม่วส่วน กระดูกเชิงกรานเข้า แล้วเก็บก้น โดยให้รู้สึกว่า สองแก้มก้น ชิดสนิท แนบแน่น หายใจออกยาวๆ ทำเช่นนี้หลายๆครั้งเพื่อบริหาร กล้ามเนื้อ บริเวณ ท้องและก้น หายใจเข้า ออกในขณะ ที่คุณหมุนหัวไหล่เป็น รูปวงกลม และประสานมือ ยืดแขนขึ้นเหนือศรีษะ เป็นการยืดกล้าม เนื้อส่วนหลังทั้งหมด หลังจากนั้นก็ยืนตรงสบายๆ เป็นการผ่อนคลาย กล้ามเนื้อ บริเวณก้นสัก 30 วินาที แล้วเริ่มทำใหม่
2. เอ๊กเซอร์ไซด์ระบบหายใจด้วยการยืนตรงหรือนั่งเอานิ้วมือทั้งสองกด เข้าหากันให้อยู่ระดับจมูก หายใจออกช้าๆ พร้อมกับกดนิ้วมือเข้าหากัน อย่างแน่น ทิ้งไว้สัก 10 นาที แล้วหายใจออก พร้อม ผ่อนคลาย จึงกลับมาทำใหม่สัก 10 ครั้ง

อาทิตย์ที่ 9
1. การเหยียบ step up เป็นกิจวัตรประจำวัน โดยถือที่ยกน้ำหนักด้วย สัก 21 ปอนด์ เริ่มต้นด้วยการก้าวยาวๆ ก้าวขาขวาขึ้นสเต็ป เหยียดแขนซ้าย ออกไปข้างหน้า แขนขวาวงไว้ขางลำตัวแล้วสลับข้าง ทำอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 15 นาที แล้วค่อยๆช้าลง
2. ตรวจดูการรับประทานโปรตีนของคุณ ควรให้มีอาหารประเภทเนื้อวัว เนื้อเป็ด เนื้อไก่ ถั่วแห้ง ไข่ และถั่วลิสง 2-3 ชนิด ต่อวัน เนื้อหรือไก่ไร ้หนัง 2-3 ออนซ์ ปลาเนื้อขาว ไม่ทอด 4-5 ออนซ์ ไข่ 2 ฟอง สุกปานกลาง เนย 11/2 ออนซ์
3. การรักษาด้วยกระแสน้ำ ในการอาบน้ำของแต่ละวัน ให้น้ำอุ่นกรทบ ตัวโดยเร็ว แล้วเปลี่ยนเป็นน้ำเย็นสัก 20 วินาที กลับไปเป็นน้ำอุ่นอีกสัก 1-2 นาที จบด้วยการอาบน้ำเย็น เริ่มให้น้ำฉีดไปบนบริเวณหน้า เรื่อง ลงไป ยังบริเวณแขนและขา รวมทั้งบริเวณหน้าอกและท้อง จบด้วย ส่วนหลัง ของคุณ เพื่อเป็นการนวดตัวด้วยกระแสน้ำ แล้วเช็ดตัว ให้แห้ง ก่อนคลานขึ้นเตียง นอนพักสัก 20 นาที เป็นการพักฟื้น

อาทิตย์ที่ 10
1. ปรับปรุงการออกกำลังกายของคุณให้ดีขึ้น โดยำสม่ำเสมอทุกวัน เป็นประจำ แยกเท้าออกจากกันให้กว้างพอประมาณ โดยยืนอยู่ด้าน หลังก้าวอี้ มือขวาจับพนักเก้าอี้ไว้เป็นการพยุงตัว ใช้มือซ้ายแตะไว้ ตรงต้นคอ งอข้อศอกให้อยู่ระดับหลัง เอียงตัวไปทางซ้ายพร้อมงอเข่า บิดตัวลงให้ ข้อศอกแตะเข่าด้านหน้า แล้วกลับมายืนในท่าเดิม เริ่มทำใหม่ แต่ตอนนี้บิดและเอียงตัวลงให้ข้อศอกแตะเข่าขวาด้านหน้า จึงกลับไป ทำอีกข้าง ทำข้างละ 20 ครั้งเป็นการบริหารเอว
2. อาทิตย์นี้ลงมือทำเล็บมือและเล็บเท้า พร้อมทั้งแต้มสีสันลงไปบนเล็บ ซะให้สวยบาดใจไปเลย
3. ขัดตัวด้วยเกลือ โดยเอาเกลือทะเลผสมกับน้ำมันโอลีฟนวด ไปบนตัวที่ยังชื้น อยู่แล้วค่อยล้างออก

อาทิตย์ที่ 11
1. สำหรับสุขภาพผิวที่เปล่งปลั่งหลังจากที่เราได้ทะนุบำรุงดูแล มาจนถึง อาทิตย์ นี้แล้ว เรามาเริ่มแต่งหน้ากันสักหน่อย จะดีกว่า ใช้รองพื้นสี ที่เป็นธรรมชาติ เข้ากับสีผิว หรือจะใช้สีแทนสักหน่อยก็ได้ แต่ถ้าไม่ ชอบสีแทนก็ให้ใช้ สีขาวกว่าผิวก็ได้เช่นกัน เพื่อเพิ่มความผุดผ่อง เป็นยองใย
2. บางครั้งอาจจะทดลองแต่งให้เข้ากับฤดูร้อน สิ่งจำเป็นที่สุด ตัวครีมรองพื้น ควรจะมีมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ ผสมอยู่ให้มากหน่อย เพื่อทำให้ผิวคุณดู สดใส ปัดแก้มเบาๆ ปัดมาสคารา ทาลิปมันและลิปสติก
3. สีอ่อนๆให้ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด คุณก็จะดูเป็นคนสวยที่มีสุขภาพดี
ควรจะเล่นกีฬานะคะ อาจะไปเรียนตีเทนนิส หรือไปร่วมเล่นซอฟท์บอล กับเขาในสวนสาธารณะก็ได้

อาทิตย์ที่ 12
1. จัดเตรียมชุดว่ายน้ำ จะวันพีซหรือทูพีซก็ได้แล้วแต่ตามใจชอบ แต่อย่าลืมแว็กซ์ขนบริเวณขอบบิกินี่ด้วยล่ะ ตามร้านเสริมสวยเขา ก็มีบริการ
2. ปกป้องแสดงแดดด้วยครีมกันแดด ใช้ครีมที่มีสาร SPF คุณสามารถมี ผิวสีแทนได้ แต่อย่าไหม้ ที่จริงแล้วก็มีครีมหลายตัวสำหรับกันแดด คุณเลือกหาเอาเองก็แล้วกัน
3. สวยเห็นผล

สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อต้องนอนดึก

สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อต้องนอนดึก

ใครที่ดูบอล ทำการบ้าน หรือทำงานติดพัน แล้วต้องนอนดึกๆ อาจจะทำให้เสียสุขภาพได้ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆควรปฎิบัติตามนี้......

การพักผ่อนควรเข้านอนเวลา 3 ทุ่ม เนื่องจากร่างกายต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอขับของเสียตามอวัยวะต่าง ๆ ย่อยอาหารให้หมด และถ้ากินมื้อหนักในตอนกลางคืน แถมนอนดึกอีก รับรองว่าอ้วนแน่นอน เพราะไขมันเผาผลาญไม่หมดเลยทำให้เกิดการสะสมของไขมัน

แต่ถ้านอนดึกเลี่ยงไม่ได้ เพราะต้องทำงาน ทำการบ้าน ดูบอล (ช่วงนี้เลยอ่ะ) หรือติดงานอะไรก็ตาม ควรปฏิบัติดังนี้

1. งดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพราะย่อยยากลำไส้ต้องทำงานหนัก

2. ถ้าหากอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ควรช่วยลำไส้ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด ยิ่งเคี้ยวละเอียดมากเท่าไหร่ยิ่งดี จะได้แบ่งเบาภาระการทำงานของลำไส้

3. ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ หรือ น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้ง หรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก 1 แก้วก็ได้

4. เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้องกับฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้า

5. มื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่า

6. ควรหลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม เพราะจะเพิ่มภาระทำให้ระบบภายในร่างกาย ร่างกายต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายต้องพยายามปรับอุณหภูมิ ให้อุ่นเหมาะสมก่อน แล้วจึงนำไปใช้

อย่าลืมหันมาดูแลสุขภาพกัน ด้วยการไม่นอนดึกมากจนเกินไป เพื่อสุขภาพที่ดี







ที่มา
http://campus.sanook.com/teen_zone/senior_02515.php

ปัญหาขอบตาดำป้องกันได้



ปัญหาขอบตาดำป้องกันได้



เป็นหน้าต่างของดวงใจ เป็นประโยคที่ได้ยินเป็นประจำ การที่เราจะมองใครคนหนึ่งว่าสวยหรือไม่ตาก็เป็นจุดที่สำคัญจุดหนึ่ง ถ้าใครมีดวงตาที่ผ่องใส ผิวหนังรอบตาไม่มีมลทินก็ทำให้หน้าดูสวยไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าใครมีปัญหาขอบตาคล้ำ ก็ทำให้ใบหน้าดูหมอง ไม่สดใสความสวยงามก็ลดลงไปแล้ว

ดังนั้น การรักษาผิวรอบดวงตาที่หมองคล้ำทำให้กลับมาสดใสจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นปัญหาใต้ตาคล้ำ เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยๆ ในคนไทย ก่อนจะมาถึงการรักษา ควรจะต้องทราบถึงสาเหตุเสียก่อนเพื่อให้การรักษาได้ผลดีขึ้น และเป็นการป้องกันไม่ให้รอยดำเป็นมากขึ้น

สาเหตุของขอบตาดำ
ขอบตาดำ มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ บางคนมีสาเหตุจากหลายๆ สาเหตุ

- กรรมพันธุ์ ถ้าคนไทยมีขอบตาดำ แล้วลองหันไปมองญาติพี่น้องพ่อแม่ของคุณดูว่าเป็นแบบเดียวกับที่คุณเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นละก็ การรักษาและป้องกันอาจจะยาก

- ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้ จะพบว่าเส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไปและเส้นเลือดดำเหล่านี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป

- การระคายเคืองแถวๆ รอบตา เช่น การขยี้ตาบ่อยๆเพราะการขยี้ตาจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น

- แพ้ครีมทารอบดวงตา บางคนอาจแพ้สารบางอย่างในครีม ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะแพ้สารตัวใด
ใครบ้างที่จะเป็น ถ้ารู้ว่าแพ้คงต้องหยุดการทาครีมดังกล่าวถ้าไม่ทราบอาจต้องพึ่งการทดสอบว่าแพ้สารที่ต้องสงสัยหรือไม่

- อดนอน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน ใครที่รู้ตัวว่าอดนอนบ่อยๆ หรือนอนดึกก็ขอให้นอนเร็วขึ้น เพื่อที่ขอบตาจะได้ดูสดใสกว่าเดิม

- เป็นปานโอตะ ปานโอตะคือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้พบในบางคนที่มีความผิดปกติที่เซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ผิดที่ ซึ่งมักพบบริเวณรอบๆ ตาโดยมากมักจะเป็นข้างเดียว แต่มีบางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ

การรักษาขอบตาดำ

ถ้าไม่ใจร้อน รักษาแบบได้ผลช้าๆ ก็ใช้เป็นยาทาใต้ตาที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น วิตามินซีแต่ถ้าต้องการให้เห็นผลดีมากขึ้น และได้ผลเร็วๆ การรักษาด้วยเลเซอร์ หรือเครื่องแสงเข้มข้นเป็นวิธีที่ได้ผลดี เลเซอร์ที่ใช้รักษาขอบตาดำได้ ที่นิยมมากที่สุดคือ Nd-yag laser

นอกจากนี้เลเซอร์ตัวนี้ยังสามารถรักษาภาวะปานโอตะได้ด้วย หลังยิงเลเซอร์ ผิวบริเวณนั้นจะเป็นสะเก็ด
และสะเก็ดจะหลุดออกภายใน 1-2 อาทิตย์ และผิวของตาที่คล้ำก็จะดูขาวขึ้น เครื่องแสงเข้มข้น คล้ายกับเลเซอร์ แต่ต่างกันที่หลังจากยิงเสร็จแล้วจะไม่เป็นแผล แต่อาจจะเป็นสะเก็ดฝอยๆ เล็กน้อย แต่เครื่องนี้ไม่สามารถรักษาภาวะปานโอตะได้

ขอบตาดำเป็นเรื่องที่ต้องรักษากันนาน และถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดี นอนหลับไม่เพียงพอไม่ช้าขอบตาก็กลับมาดำได้อีก ดังนั้น การดูแลเอาใจใส่รอบดวงตาเสียแต่เนิ่นๆก่อนที่จะเริ่มเป็นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด







ที่มา
http://campus.sanook.com/teen_zone/senior_02965.php

รูปร่างดีใน 4 สัปดาห์

คุณจะดูเพรียวลงและแข็งแรงขึ้นในช่วงเวลาไม่นาน เพียงทำตามตารางต่อไปนี้แค่ 4 ครั้ง ก็เห็นผล

วันจันทร์
ตั้งเป้าไปที่ บั้นท้าย ขาและหน้าท้อง
ท่าปฏิบัติ
• ท่าบริหารหัวใจ 20 นาที หากคุณเข้าโรงยิมเป็นประจำอยู่แล้ว ลองวิ่งบนเครื่องวิ่ง หรือไม่ก็ปั่นจักรยานที่มีแรงต้านเล็กน้อย แต่หากคุณออกกำลังกายที่บ้าน ลองเดินอย่างกระฉับกระเฉงหรือไม่ก็จ็อกกิ้งดู
• ท่านั่งย่อยืด 20 ครั้ง ยืนปล่อยแขนไว้ข้างลำตัว ค่อยๆ นั่งโดยทิ้งน้ำหนักไปด้านหลังกระทั่งต้นขาขนานกับพื้น ขณะเดียวกันยกแขนขึ้นด้านหน้า เพื่อสร้างความสมดุลแล้วกลับไปไท่าเริ่มต้น
• ท่าแทงเข่า 20 ครั้ง ยืนเอามือท้าวสะโพก ใช้เท้าขวาก้าวไปด้านหน้า พร้อมย่อเข่าลงกระทั่งต้นขาขนานกับพื้น กลับไปที่ท่าเดิมแล้วเปลี่ยนเป็นขาซ้าย
• ท่าถ่วงน้ำหนัก 20 ครั้ง ยืนถือเวทขนาด 3-5 ปอนด์โดยให้มืออยู่บริเวณหน้าขา โน้มตัวไปด้านหน้าโดยใช้ช่วงเอว กระทั่งนิ้วของคุณแตะพื้นแล้วกลับไปที่ท่าเริ่มต้น
• ท่าขาตั้งฉาก 40 ครั้ง นอนราบกับพื้นมือแนบลำตัว
พยายามยกขาทั้งสองให้ตั้งฉากกับเพดาน จากนั้นค่อยๆ วางขาลงจนห่างจากพื้น 2-4 ฟุต


วันอังคาร
มุ่งไปยัง แขนและหน้าอก
ท่าปฏิบัติ
• ท่าบริหารหัวใจ 20 นาที
• ทำท่าซิทอัพ โดยชันหรือวางเข่าราบกับพื้น 15-20 ครั้งหรือพยายามทำเท่าที่คุณสามารถทำได้
• ท่าชูขึ้น 20 ครั้ง นอนราบกับพื้นในมือถือเวทหนัก 3-5 ปอนด์ งอแขนเข้าโดยให้มืออยู่บริเวณไหล่ ฝ่ามือหันเข้าหากัน ค่อยๆ ยกเวทขึ้นกระทั่งแขนตึง โดยพลิกฝ่ามือหันไปทางปลายเท้า เสร็จแล้วกลับไปที่ท่าเริ่มต้น
• ท่าโน้มตัว 20 ครั้ง นั่งลงที่ขอบเก้าอี้โดยให้เข่างอไว้ วางน้ำหนักลงที่ส้นเท้า ปลายนิ้วเท้าของคุณควรชี้ไปด้านหน้า ใช้มือจับส่วนหน้าของเก้าอี้ระหว่างขาให้แน่น พยายามตั้งหลังให้ตรงไว้ ค่อยๆโน้มตัวไปด้านหน้าโดยใช้ลำแขนช่วยดึงลำตัวลงไป กระทั่งข้อศอกของคุณอยู่ในระดับเดียวกับหัวไหล่ กลับไปที่ท่าเริ่มต้น


วันพุธ
มุ่งไปยัง หลังและไหล่
ท่าปฏิบัติ
• ท่าบริหารหัวใจ 20 นาที
• ท่ากางปีก 20 ครั้ง ยืนให้ปลายเท้ากว้างในระดับไหล่โดยมือทั้งสองถือเวทหนัก 3-5 ปอนด์ในมือ หันฝ่ามือเข้าหาลำตัว จากนั้นค่อยๆ กางแขนทั้งสองขึ้นจนกระทั่งสูงขึ้นถึงระดับไหล่ แล้วค่อยๆ วางลงอย่างช้าๆ
• ท่ายกขึ้นด้านหน้า 40 ครั้ง (ข้างละ 20 ครั้ง) ยืนตรงในมือถือเวทหนัก 3-5 ปอนด์ ค่อยๆ ยกแขนขวาขึ้นทางด้านหน้าจนถึงระดับไหล่ ค่อยๆ วางลงแล้วเปลี่ยนแขน
• ท่ายกเหยียด 20 ครั้ง ยืนตรงในมือถือเวทหนัก 3-5 ปอนด์ ค่อยๆ งอแขนเข้าหาลำตัวโดยให้ฝ่ามือหันออกด้านหน้า เหยียดแขนทั้งสองตรงเหนือศีรษะแล้วค่อยๆ วางลงอย่างช้าๆ


วันพฤหัสบดี
มุ่งไปยัง บั้นท้าย ขาและหน้าท้อง
ท่าปฏิบัติ
• ท่าบริหารหัวใจ 20 นาที
• 30 ท่าดึงถีบ (ข้างละ 15 ครั้ง) ทำท่าหมอบโดยพยายามให้หลังตรงเข้าไว้ ดึงเข่าขวาให้ขึ้นมาถึงหน้าอกแล้วถีบออกด้านหลังให้ขายืดตรง เริ่มทำใหม่โดยเปลี่ยนขา
• ท่านั่งย่อยืด 20 ครั้ง
• ท่าแทงเข่า 15 ครั้ง
• ท่ายกกระดูกเชิงกราน นอนราบกับพื้น ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นและแขนแนบลำตัว ค่อยๆ ยกบั้นท้ายขึ้นกระทั่งสูงเหนือพื้นประมาณ 3-5 นิ้ว ค่อยๆ วางลงอย่างช้าๆ
• ท่ายกบิด 40 ครั้ง (ข้างละ 20 ครั้ง) นอนราบกับพื้น ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นแล้วเอามือรองไว้ใต้ศีรษะ พยายามใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องโดยการยกศีรษะและหัวไหล่ขึ้นจากพื้น ในขณะเดียวกันหมุนลำตัวไปทางด้านขวามือ เสร็จแล้วเปลี่ยนข้าง


วันศุกร์
มุ่งไปยังส่วนที่คุณมีปัญหา
ท่าปฏิบัติ
• ท่าบริหารหัวใจ 20 นาที
• จากนั้น พิจารณาดูว่าถ้าแขนของคุณยังไม่ฟิตพอ ให้ใช้ท่าบริหารของวันอังคาร แต่หากหลังและไหล่รู้สึกอ่อนแอเหลือกำลัง ให้คุณทำท่าของวันพุธ ก้น ขา และช่องท้องเกิดต้องการการบริหารมากกว่าเท่าที่ทำไปเมื่อวันจันทร์และพฤหัสบดี ให้นำท่าของวันจันทร์มาทำอีกครั้ง ด้วยวิธีนี้คุณจะไม่ทำท่าที่ซ้กับวันก่อน ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อส่วนบนเกิดอาการเจ็บปวด


วิธีเลือกรับประทาน
หากต้องการลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณต้องวางแผนสำหรับเมนูอาหารในเดือนนี้
• ทำอาหารมื้อกลางวัน และมื้อค่ำด้วยเนื้อไม่ติดมัน
• เลือกผักใบสีเขียวเข้ม เช่น ผักโขม แต่หลีกเลี่ยงพวกที่เป็นแป้ง อย่างมันฝรั่ง
• หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำตาล เมื่อสามารถทำได้
• ไม่ควรรับประทานผลไม้ เขตร้อนที่มีแคลอรีสูง อาทิ สับปะรด กล้วย และมะพร้าว
• หนีห่างขนมหวานที่มีปริมาณน้ำตาบสูง
• ลองเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งใสใส่ผลไม้ อาจช่วยบรรเทาความอยากของคุณได้

5 เรื่องความงาม ที่ผู้หญิงพลาดบ่อย

5 เรื่องความงาม ที่ผู้หญิงพลาดบ่อย


ทุกอย่างพลาดกันได้ แต่เรื่องความสวยความงาม อย่าเผลอผิดพลาดบ่อยไปเชียว เดี๋ยวจะถูกเหมาได้ว่าเราดูแลตัวเองไม่ดีจริง อย่างเช่น 5 เรื่องต่อไปนี้ ที่ผู้หญิงอย่างเราพลาดกันบ๊อย บ่อย

1. ไม่ใช้ครีมบำรุง ไม่เอาครีมกันแดด

พลาดไปถนัดทีเดียว ที่ปฏิเสธครีมบำรุงและครีมกันแดด เพราะนี่ล่ะคือการป้องกันและดูแลผิวหน้าในระยะยาวที่ดีที่สุด แม้ว่าครีมที่เราเลือกใช้จะไม่ได้ผสมสารสกัดราคาแพงก็ตาม แต่การเติมน้ำให้ผิวและตามด้วยป้องกันแสงแดดในทุกๆ ครั้งที่ออกจากบ้านนี้ จะช่วยยืดอายุผิวได้นาน และยังป้องกันริ้วรอย ฝ้า กระได้ดีไม่น้อย

2. ตามกระแส

เดี๋ยวนี้กระแสช่างพาไปจริงๆ จนสาวๆ อดซื้อตามคำบอกเล่าไม่ได้ แต่ในที่สุดก็พบว่าเป็นผลิตภัณฑ์ความงามที่ไม่เหมาะกับเราเสียเลย อย่างเมกอัพที่สีไม่เข้ากับผิว โลชั่นที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว หรือสินค้าที่ราคาแพงเกินจริง แต่สามารถมองหาของดีใกล้เคียงได้ตั้งมากมาย

3. ไม่ดูอายุผลิตภัณฑ์

บางทีอาจเกิดจากความเสียดาย ความละเลย หรือการไม่รู้ แต่สำคัญที่เดียวที่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ความงามตามอายุของมัน สังเกตได้ง่ายๆ จากฉลากข้างขวดที่จะบอกว่าใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพภายในกี่ปี ซึ่งผลิตภัณฑ์สูตรธรรมชาตินั้นจะอายุสั้นกว่าประมาณ 2 – 3 ปีตามเงื่อนไขของธรรมชาติ

4. ชอบ แต่ไม่ได้ใช้

เผลอซื้อเพราะแพคเกจจิ้งกันบ้างหรือเปล่า บางครั้งก็ใช้ใจพาไปจนซื้อมาสะสมกันไว้จนใช้แทบไม่ทัน สุดท้ายก็ต้องตัดใจทิ้งไปเพราะของหมดอายุเสียนี่ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า คราวหน้าลองจดลิสต์ชิ้นบิวตี้ที่ต้องการจริงๆทุกครั้ง จะได้ไม่เผลอพลาดจนอดเสียดายสตางค์ทีหลัง

5. ลืมนึกถึงผลกระทบ

ข้อนี้สำคัญทีเดียว เพราะจะเป็นการดีอย่างยิ่งที่เราจะคิดหน้าคิดหลังก่อนจับจ่าย เช่นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดูดี น่าใช้ แต่กลับบรรจุในแพคเกจจิ้งที่ชวนทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่สามารถรีไซเคิลได้ บ้างก็ใส่สารเคมีมากเกินจำเป็น บ้างก็ใช้วัสดุที่ฟุ่มเฟือย (แถมราคาที่แพงก็เพราะค่าแพคเกจจิ้งเหล่านี้นี่เอง)



ที่มา
http://women.sanook.com/5-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%A1-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2-849436.html

โบท็อกซ์ เนรมิตสวยในพริบตา ภัยร้ายของคนไม่ฉลาดใช้

สำหรับคนหนุ่มใหญ่และสาวน้อยลงในยุคนี้ เมื่อถึงเวลาที่ใบหน้าไม่อาจคงความอ่อนโยนอ่อนเยาว์ได้ถาวรก็นิยมไปพึ่งพาการสวยด้วยแพทย์ โบท็อกซ์ เป็น 1 วิธีที่นิยมกันมาก เพราะให้ผลเร็วในเวลาเพียง 10 นาที แถมไม่ต้องเสียเลือดเนื้อขึ้นเขียงลงมีด ปีที่ผ่านมาพบว่ามีคนอเมริกันฉีดโบท็อกซ์กว่า 2,837,346 คน

แต่เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา กลับมีแพทย์คนหนึ่งได้ฉีดสารโบท็อกซ์ซึ่งว่ากันว่าไม่ใช่ของแท้เข้าไปให้กับตัวเองและญาติอีก 3 คน ผลก็คือ ทั้ง 4 คน หมดสติ เป็นอัมพาต เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ความดันตก กระบังลมคลายตัว กล้ามเนื้อทั้งหมดคลายตัว ต้องรักษาตัวอยู่ในห้องฉุกเฉินจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา

เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจาก แพทย์หญิงวิไล ธนสารอักษร ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง โรงพยาบาลสมิติเวช อธิบายว่า "เป็นเพราะแพทย์คนนั้นไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโบท็อกซ์ และใช้ยาโบท็อกซ์เถื่อนฉีดเข้าไปให้กับตัวเองและญาติเพราะมีราคาถูกกว่า ที่สำคัญคือฉีดสารนี้ในปริมาณถึง 300 ยูนิต ทั้งที่จริงแล้วไม่ควรเกิน 100 ยูนิต" อันนี้เป็นสิทธิของคนไข้ เวลาฉีดโบท็อกซ์ควรร้องขอแพทย์ดูว่าใช่โบท็อกซ์ของแท้หรือไม่

โบท็อกซ์ของจริงที่นิยมใช้กันคือ "Botulinum Toxin ชนิดเอ เป็นโปรตีนบริสุทธิ์ที่สกัดจากแบคทีเรียคลอสทริเดียมโบทูลินุม (Clostridium Botulinum) เมื่อครั้งแรกได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยาใช้รักษาอาการตาเขและหนังตากระตุกในคนไข้ที่เกิดปัญหากล้ามเนื้อตาเสื่อม ตั้งแต่ปี 2532 ต่อมาในปี 2543 ได้รับอนุมัติให้รักษาอาการปวดคอหรือศีรษะบิดเกร็ง

ผลจากการรักษาอาการคอกระตุกตากระตุกของผู้ป่วยทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณรอบคอ หนังตา หายไปด้วย นี่จึงเป็นที่มาของการนิยมใช้สารโบท็อกซ์รักษาความสวยงาม และหากคนไข้ต้องการประหยัดเงิน หมอวิไลแนะนำว่า "ยาโบท็อกซ์ 1 ขวดค่าใช้จ่ายราว 15,000-20,000 บาท เมื่อเปิดใช้แล้วควรใช้ให้หมดใน 1 วัน เพราะฉะนั้นคนไข้สามารถรวบรวมสมัครพรรคพวกมาช่วยกันใช้ช่วยกันฉีดได้ จะได้ไม่สิ้นเปลืองเงินทองมาก"

หลังฉีดไปแล้วมีคนไข้บ่นอุบว่า เหมือนคนด้านชา ใบหน้าไม่สามารถแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ใด ๆ ได้ แพทย์หญิงนันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ ผู้ก่อตั้ง Apex Skin Centre แนะให้หายข้องใจว่า "ปกติแพทย์จะฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในชั้นหนังแท้ เฉพาะบริเวณที่คนไข้ต้องการ แต่หลังฉีดไปแล้วคนไข้ต้องขยันใช้กล้ามเนื้อใน 2-3 ชั่วโมงแรก เช่น ยิ้ม ขมวดคิ้ว เลิกคิ้ว จะทำให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น"

นอกจากนี้ ไม่ควรใช้น้ำอุ่นล้างหน้า อบเซาน่า อบไอน้ำ ทำให้ความร้อนสัมผัสผิวโดยตรง และโบท็อกซ์ก็จะสลายเร็วกว่าที่ควร และควรหลีกหนีการนวดหน้า ขยี้คลึงบริเวณที่ฉีด เพราะจะทำให้โบท็อกซ์ไหลกระจายไปนอกบริเวณที่ต้องการได้ ซึ่งฉีด 1 ครั้งจะสดสวยอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน

ขณะเดียวกันสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร คนที่มีปัญหาเรื่องปวดข้อ หรือกำลังทานวิตามินอี ทานแปะก๊วยอยู่นี่ห้ามทำโบท็อกซ์ เพราะฉะนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากหล่ออยากสวย ต้องคิดคำนวณให้รอบคอบ หากเกิดอะไรขึ้นจะหาว่า หล่อไม่เตือน

โบท็อกซ์....ดี หรือ ร้าย

ปัจจุบันนี้โบท็อกซ์ (Botox) กำลังเป็นที่นิยมของคนอเมริกันที่หน้าเหี่ยวและต้องการให้ตึงขึ้น แต่แทนที่จะไปผ่าตัดดึงหน้าแบบเก่า ก็มารับการฉีดยาโบท็อกซ์แทน มีรายงานว่าความนิยมกำลังเพิ่มสูงขึ้นๆ จนเกือบจะถึงขีดสุดแล้ว เพราะกลายเป็นวิธีการรักษาของหมอเสริมสวยที่มีความนิยมมากที่สุด เมื่อปีที่แล้วคนอเมริกันประมาณ 1.6 ล้าคนได้รับการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลบตีนกา และเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ก็มักจะมีคนเอาอย่างไปทั่วโลก เรื่องของโบท็อกซ์ก็คงจะเหมือนกัน

เชื่อหรือไม่ครับว่า ยาโบท็อกซ์ (Botox) ตัวนี้เป็นยาที่ทำมาจากสารพิษที่เรียกว่า Botuilinum Toxin จากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Clostridium botulinum แบคทีเรียตัวนี้เดิมที่เรารู้จักกันว่า เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษในอาหารกระป๋องที่ไม่สะอาด สารพิษที่ผลิตออกมาจากเชื้อตัวนี้ มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการผิดปกติของการทำงานของระบบประสาทและทางเดินอาหารหลายอย่าง และฤทธิ์อย่างหนึ่งที่เขานำมาใช้ฉีดดึงหน้าก็คือ ฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตหย่อนยานลง

แรกเริ่มเดิมทีหมอตาเอายาตัวนี้มาใช้ฉีดรักษาคนไข้ที่กล้ามเนื้อหนังตา (ที่ทำหน้าที่ปิดตา) บีบรัด หรือกระตุก ทำให้เปิดตาไม่ถนัด เมื่อเขาฉีดยาตัวนี้ไปทำให้กล้ามเนื้อนั้นเป็นอัมพาตบางส่วน ทำให้เปิดตาได้ แต่มีหมอตาหัวดีบางคนได้สังเกตเห็นว่าการฉีดโบท็อกซ์รักษาโรคตาอย่างว่านั้นทำให้รอยเหี่ยว รอยตีนการอบตาหายไปด้วย จึงทำให้มีคนนำมาใช้รักษาโรคหน้าเหี่ยว ใช้แล้วติดใจ ทั้งๆ ที่ในขณะนั้น อ.ย.สหรัฐยังไม่อนุมัติให้ใช้ยาตัวนี้ในข้อบ่งใช้อย่างนั้น และเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ อ.ย.สหรัฐได้อนุมัติให้ใช้ยาตัวนี้ ในการรักษารอยเหี่ยวในบางแห่งบางที่ได้แล้ว เมื่อข่าวนี้ถูกประกาศออกไปก็ชักจะเริ่มมีคน โทรหาคลินิกหมอเสริมสวยกันมากขึ้น

ปกติเวลาเราปิดตากล้ามเนื้อรอบตาจะบีบตัว การบีบตัวนี้มีผลข้างเคียงทำให้เกิดรอยย่นใต้เปลือกตา และรอยตีนกาที่ขอบนอกของตา ยาโบท็อกซ์จะไปจับบริเวณรอยต่อของเส้นประสาทกับกล้ามเนื้อ ไปขวางไม่ให้สัญญาณไฟฟ้าที่ส่งจากเส้นประสาทมาบังคับกล้ามเนื้อให้ทำงานได้

แพทย์ที่ใช้ยาตัวนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอพลาสติกก็ได้ แต่ต้องมีความชำนาญพอสมควร คือต้องรู้ว่าฉีดรอบๆ ตา ฉีดตรงไหนบ้าง ฉีดมากน้อยแค่ไหน ถ้าฉีดผิดที่ผิดทาง คนไข้ปฏิบัติตัวผิดจะเกิดปัญหาได้มากเนื่องจากยามีฤทธิ์ทำให้เป็นอัมพาตกล้ามเนื้อนานถึง 3-6 เดือน เขาจะฉีดแค่ 4 จุด จุดละไม่มาก ถ้าฉีดมากไปหรือผิดพลาดไปจะทำให้เกิดความผิดปกติของการเปิดปิดตา หรือถ้าฉีดรอบปากจะทำให้ริมฝีปากอ่อนแรงเป็นผลให้น้ำลายไหลบังคับไม่ได้ ผลข้างเคียงของโบท็อกซ์ตัวนี้คือ จะทำให้คนไข้ไม่สามารถขมวดคิ้ว ยักคิ้ว หรือหลิ่วตา ผลข้างเคียงอย่างว่านี้สำหรับคนทั่วไปคงไม่มีปัญหา แต่สำหรับดาราไม่สามารถแสดงสีหน้าแสดงอารมณ์ทางใบหน้าได้ก็จะเกิดปัญหา เนื่องจากที่ฮอลลีวูดพวกดารานิยมฉีดยาตัวนี้เพื่อลบรอยตีนกากันมาก จึงทำให้ผู้กำกับหนังมีปัญหา

สนนราคาค่าฉีดโบท็อกซ์ลบรอยตีนกานี้ค่อนข้างแพง ขวดหนึ่งฉีดได้ประมาณ 3 คน ต้องจ่ายคนละหลายพันบาท ถ้าซื้อมาขวดหนึ่งจ่ายคนเดียวก็ต้องเสียเงินเป็นหมื่น ส่วนมากตามร้านเสริมสวยเมืองไทย จึงนิยมให้คนไข้ช่วยกันจ่ายค่ายาค่าหมอ เมื่อหมอมีสมาขิกครบ 3-4 คนแล้ว จึงนัดกันมาฉีดพร้อมกันราคาก็จะถูกลง


ท่านผู้บริโภคควรทราบไว้ด้วยว่า ไม่ใช่รอยเหี่ยวย่นทุกชนิดบนใบหน้าจะรักษาด้วยโบท็อกซ์ได้หมด รอยเหี่ยวย่นบางอย่างเกิดจากการที่ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นจากความชราไม่ใช่จากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ในกรณีเสียความยืดหยุ่นนี้การฉีดโบท็อกซ์จะไม่ได้ผล เสียเงินฟรี ดังนี้จะเห็นว่าถ้าหมอที่ทำการฉีดแยกเรื่องนี้ไม่ออก ไม่ชำนาญการ จะทำให้คนไข้เสียเงินเปล่า ไม่หายเหี่ยวแต่ประการใด หมอผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งบอกผมว่า ความเหี่ยวของผิวหนังจากการขาดความยืดหยุ่นเนื่องจากความแก่ เขาใช้สารอย่างอื่นฉีดกำจัดร่องรอยเหี่ยวแทน ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรไปหาแพทย์ให้ถูกจึงจะได้ผลดี

ที่จริงโบท็อกซ์ยังใช้รักษาโรคอย่างอื่นอีก เช่น การรักษาโรคกล้ามเนื้อเกร็งตัวจากโรคระบบประสาท รักษากล้ามเนื้อเกร็งตัวจากการบาดเจ็บ เช่น กล้ามเนื้อที่ทำให้เด็กคอเอียง ปัจจุบันนี้มีหมอเริ่มเอาโบท็อกซ์ มาทดลองใช้ฉีดกล้ามเนื้อหูรูดของทวารหนัก เพื่อรักษาโรคแผลเรื้อรังที่ช่องทวารหนักกันแล้ว เนื่องจากแผลในช่องทวารหนักเกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหูรูดให้ขาดออกจากกันบางส่วน เมื่อมีโบท็อกซ์แล้วการผ่าตัดอาจจะมีความจำเป็นน้อยลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยาโบท็อกซ์ยังแพงมาก การฉีดก้นจึ๊กเดียวเสียเงินเป็นพันเป็นหมื่นบาทคนไข้แผลที่ช่องทวาร ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในโครงการ 30 บาท ก็คงจะสู้ไม่ไหว ยาโบท็อกซ์จึงคงต้องใช้กับคนมีเงินในคลินิกเสริมสวยหรือคลินิกหมอโรคผิวหนัง ส่วนคลินิกหมอโรคทวารหนักคงต้องชิดซ้ายไปก่อนนะครับ


ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 27

วิตามินและแร่ธาตุผู้พิทักษ์ผิว

ในอาหารมากมาย ทั้งผักสด ผลไม้ เนื้อสัตว์ และธัญพืช เป็นแหล่งสำคัญของสารอาหาร ที่ผิวต้องการ มาติดตามกันว่าแต่ละชนิดนั้นมีบทบาทในการดูแลผิวของคุณให้แข็งแรง มีสุขภาพดีอย่างไร

วิตามิน A
1. บำรุงผิวให้แข็งแรง
2. ป้องกันสิว
3. ลดการสร้างไขมันส่วนเกิน
4. จำเป็นต่อการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ
5. เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ของผิวในการกำจัดพิษต่างๆ
6. ถ้าขาดวิตามิน A จะทำให้ผิวหยาบกร้าน

วิตามิน B complex
1. ช่วยดูแลซ่อมแซมสุขภาพและสีผิว
2. ถ้าขาดวิามินนี้ จะทำให้ผมและขนหยาบด้านไม่มีชีวิตชีวาผิวหนังแห้ง และเกิดสิว
3. ไธอามีน (วิตามิน B1) เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ และช่วยให้การผลัดผิวมีประสิทธิภาพขึ้น
4. ไรโบฟลาวิน (วิตามิน B2) เป็นสารบำรุงเส้นผม เล็บ และผิวหนัง
5. แพนโทเทนิค แอซิด (วิตามิน B5) ช่วยต้านความเครียดที่จะทำให้ผิวหม่นหมอง

วิตามิน C
1. เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ
2. จำเป็นต่อระบบเมตาบอลิซึมของร่างกาย
3. เมื่อรับประทานร่วมกับวิตามิน E จะช่วยเพิ่มพลังในการปกป้องผิวจากแสงแดด
4. ต้านความเครียด และเพิ่มภูมิต้านทานของผิว

วิตามิน D
1. ส่งเสริมให้ผิวหายใจได้ดียิ่งขึ้น ดูสดใสเปล่งปลั่ง
2. ต้านความเครียด โรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคเรื้อนกวาง เชื้อรา และสิว เป็นต้น

วิตามิน E
1. แอนตี้ออกซิแตนท์ รักษาและซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกาย
2. ชะลอความชราของผิว
3. ปกป้องการถูกทำลายของเซลล์ผิวหนัง

ไบโอติน
1. บำรุงผิวหนัง เส้นผม และเล็บให้แข็งแรง
2. ถ้าขาดไบโอติน ผิวจะแห้งและซีด ไม่สดใส

โครเมี่ยม
1. ช่วยต้านทานการติดเชื้อของผิวหนัง

สังกะสี
1. ช่วยเยียวยาเนื้อเยื่อของร่างกาย
2. ช่วยป้องกันรอยแผลเป็น
3. ควบคุมการทำงานของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง
4. เสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
5. ช่วยให้แผลหายเร็ว