วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

ปรนนิบัติผิวด้วยคอลลาเจนและโคเอนไซม์ คิวเทน

ปรนนิบัติผิวด้วยคอลลาเจนและโคเอนไซม์ คิวเทน

ปัจจุบันผู้หญิงเราให้ความสำคัญกับ การดูแลผิวพรรณ เป็นอย่างมาก ซึ่งต้องขึ้นอยู้กับในแต่ละช่วงวัยด้วย เพราะผู้หญิงเรามีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนครั้งใหญ่ๆ ถึง 3 ครั้ง คือ ช่วงวัยรุ่น วัยกลางคน และช่วงสูงวัย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ก็จะส่งผลต่อผิวพรรณโดยตรง ดังนั้น เคล็ดลับในการปรนนิบัติผิวให้สวยเปล่งปลั่งตลอดกาล ก็ต้องมีการดูแลเติมเต็มให้ครบความต้องการของผิวในแต่ละวัย

พ.ญ.ของขวัญ ฟูจิตนิรันดร์ หรือ คุณหมอเคท แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและศัลยกรรมเลเซอร์ เปิดเผยว่า “การดูแลผิวพรรณและการป้องกันผิวเสื่อมสภาพก่อนวัยว่า ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องมีความรู้ความเข้าใจ และปรนนิบัติผิวให้ถูกวิธี ในวัยเด็ก เป็นวัยที่สวยตามธรรมชาติอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาผิว แค่ดูแลให้ได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่ ก็เพียงพอ แต่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นเป็นช่วงที่เปลี่ยนแปลงฮอร์โมนค่อนข้างมาก เริ่มมีประจำเดือนอาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องผิวมัน จึงต้องเน้นการดูแลเรื่องความสะอาดให้ดี

ถ้าทำได้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวช่วยอื่นๆ ให้เกินความต้องการ ส่วนวัยทำงาน มักจะมีปัญหาเรื่องความเครียด มีชีวิตที่เร่งรีบ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การรับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ ส่งผลต่อปัญหาผิวค่อนข้างมาก การดูแลร่างกายคือ ต้องรับสารอาหารอย่างเพียงพอ พักผ่อน ออกกำลังกาย และลดเรื่องความเครียดลง จึงจะช่วยได้ วัยสูงอายุ หรือ 45 ปีขึ้นไป อยู่ในวัยหมดประจำเดือน ระดับฮอร์โมนจะเปลี่ยนแปลงอีกรอบหนึ่ง ดังนั้น จะต้องมีการเสริมอาหารที่มีฮอร์โมนเพศหญิงตามธรรมชาติให้มากขึ้น เช่น ถั่วเหลือง มะพร้าว เพิ่มขึ้น ต้องใส่ใจดูแลเรื่องกระดูก และตรวจสุขภาพเป็นประจำ”

หมอเคท แนะนำว่า “ด้วยร่างกายที่เสื่อมโทรมลง และระบบการซ่อมแซมร่างกายที่ช้าลง ทำให้ความต้องการของอาหารผิวมีมากขึ้น จึงส่งผลกระทบกับเรื่องเนื้อเยื่อและผิวพรรณ ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ในวัยนี้จึงต้องการ การดูแลเอาใจใส่ในเรื่องผิวพรรณมากขึ้น สารอาหารหรือวิตามินที่จำเป็นสำหรับวัยนี้ คือ กลุ่มที่สร้างคอลลาเจน หรือคอลลาเจนโดยตรง โปรตีน วิตามินซี ที่เป็นเบสในการสร้างคอลลาเจน วิตามินอี น้ำมันตับปลา ไขมันชั้นดี โคเอนไซม์ คิว 10

ความแตกต่างของผิวพรรณที่เห็นได้ชัด ระหว่าง วัยรุ่น กับวัยสูงอายุ คือการสูญเสียคอลลาเจนในผิว ทำให้ผิวมีปัญหา ริ้วรอย หย่อนยาน ดูไม่เต่งตึงเหมือนเด็กๆ เป็นแผลแล้วหายช้า เกิดเป็นแผลเป็น หรือเป็นสีดำขึ้นมา สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องเสริมก็คือ คอลลาเจน ซึ่งสำคัญมากสำหรับผู้หญิง เพราะถ้าไม่มีคอลลาเจน ก็เหมือนกับผิวไม่มียางยืด

อันดับสำคัญรองลงมาคือ ส่วนที่ประกอบกันเป็นคอลลาเจนได้แก่ โปรตีน เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีนเกลียว เช่น โปรตีนจากปลาทะเลน้ำลึก และโปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น แอลคาร์นิทีน ไลซีน ซึ่งร่างกายมีความต้องการที่แตกต่างกันไป และที่ขาดไม่ได้ คือ วิตามินอี เพราะเป็นตัวกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้น และช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ โคเอนไซม์ คิว 10 ยังเป็นสารสำคัญที่ช่วยสร้างพลังงานให้กับผิวในการแบ่งเซลล์ ทำให้ริ้วรอยต่างๆ ลดลงและเลือนหายไป และยังช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานปกติอีกด้วย”

เคล็ดลับในการดูแลผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง สวยสมวัย ง่ายๆ คือการดูแลจากพื้นฐาน ให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ถ้าสามารถเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่จากอาหารทั้ง 3 มื้อได้ อาหารเสิรมก็ไม่จำเป็น แต่ถ้ารู้ตัวว่ามีเวลาน้อย ไม่สะดวก ก็เลือกอาหารเสริมที่ได้คุณภาพ จากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้

ที่มา
http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9540000113454

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

10 วิธีเผาผลาญพลังงานให้ได้ 500 แคลอรี่ต่อวัน

10 วิธีเผาผลาญพลังงานให้ได้ 500 แคลอรี่ต่อวัน

เมื่อปัญหาความอ้วนมีไขมันส่วนเกินยังเป็นเรื่องหนักใจ สารพัดวิธีลดน้ำหนักจึงถูกงัดมาใช้ ไม่ว่าจะออกกำลังกาย งดทานอาหารนั่นนี่ จนสาวบางคนบ่นอุบ ต้องเหนื่อย.. ต้องทน กว่าจะลดน้ำหนักได้!

ทว่าในความจริงแล้ว ยังมีวิธีแสนง่าย ที่ช่วยให้คุณควบคุมน้ำหนัก และลดความอ้วนได้ แบบไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องทน แค่เพียงลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนิดๆ หน่อยๆ ในกิจกรรมชีวิตประจำวันเท่านั้น

อาทิแทนที่จะนั่งคุยโทรศัพท์ก็ลุกขึ้นมาเดินคุยซะ! เอาล่ะไปดูกันค่ะว่า เรามีไอเดียให้คุณทำอย่างไรกับกิจกรรมในชีวิตประจำวันของคุณ เพื่อเผาผลาญพลังงานให้ได้ 500 แคลอรี่ (Calories) ต่อวัน


1. หมั่นขยับร่างกาย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะว่าแค่ขยับแข้งขา เดินไปมานิดๆ หน่อยๆ ก็สามารถเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้มากถึง 350 แคลลอรี่ต่อวัน!

ฉะนั้นลองหาเวลาว่างในชีวิตประจำวัน เคลื่อนไหวร่างกายสักนิด เช่น กวาดบ้านถูบ้าน หรือจากที่เคยนั่งนอนคุยโทรศัพท์ เม้าท์มอยกับเพื่อนกับแฟน ก็เปลี่ยนมาเป็นเดินวนไปมาระหว่างคุยโทรศัพท์ ถ้านึกไม่ออก บิวท์อารมณ์ไม่ได้ว่าจะเคลื่อนไหวยังไงดี แนะนำให้จินตนาการถึงตอนจีบกับแฟนใหม่ๆ คุยไปเขินไป อายม้วนต้วน เอี้ยวตัวไปมา ประมาณนั้นแหละค่า … ลองทำสักวันละ 2 ครั้ง ภายใน 5 สัปดาห์คุณจะสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 10 ปอนด์ (pound) เชียวค่ะ


2. เลือก “ถั่ว” เป็นอาหารทานเล่น

แทนที่จะทานอาหารจำพวกแป้ง หรือของหวาน น้ำตาลสูง ลองหันมาทานของกินเล่นที่เปี่ยมประโยชน์อย่าง ‘ถั่ว’ จะส่งผลดีต่อร่างกายของคุณมากกว่า

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cornell แนะให้ทานถั่ว เพราะมีไขมันที่ดีต่อหัวใจ แถมให้พลังงานไม่สูง ทว่าก็ต้องเลือกกันนิดนะคะ หากคุณเลือกทานถั่วทอดในปริมาณ 1 กำมือ (ประมาณ 1 ออนซ์) เฉพาะแค่น้ำมันที่เคลือบอยู่กับถั่ว ก็ให้พลังงานมากถึง 175 แคลอรี่แล้วค่ะ และถ้าทานถั่วทอดสัก 3 กำมือ คุณก็ได้ของแถมเป็นน้ำมันที่เคลือบผิวถั่วไปแล้วถึง 525 แคลอรี่

ไหนๆ ก็อยากจะห่วงใยสุขภาพ ใส่ใจอาหารการกินแล้ว ก็เลือกเป็นถั่วอบ หรือถั่วที่ปรุงโดยไม่ใช้น้ำมันดีกว่าเน๊อะ ^_^


3. ไม่ทานอาหารระหว่างดูทีวี

พฤติกรรมการกินหน้าจอ ทำให้คุณเพลิดเพลินสนุกสนานกับละครทีวี แล้วก็เผลอทานอาหารเข้าไป แบบไม่บันยะบันยัง จนตัวคุณเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าระหว่างบันเทิงเริงรมย์กับรายการทีวีสุดโปรดนั้น คุณได้หยิบอาหารทานไปแล้วมากมายขนาดไหน

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Massachusetts ค้นพบว่า การรับประทานอาหารไปด้วย ระหว่างการดูทีวี จะทำให้คุณรับประทานอาหารได้มากกว่า 288 แคลอรี่ โดยที่คุณเองก็แทบไม่รู้ตัว!

ดังนั้นแข็งใจเลิกพฤติกรรมนี้เถอะค่ะ ..เปลี่ยนมาทานอาหารที่โต๊ะอาหาร ทำให้เป็นกิจจะลักษณะ เพราะเมื่อทานอย่างมีสติ จะได้รู้ตัวว่าตัวเองหม่ำอาหารไปมากน้อยเพียงใดแล้ว นอกจากนี้ยังแนะนำให้คุณเอาเวลาที่นั่งนิ่งๆ (ขณะดูทีวี) สัก 1 ชั่วโมง มาเดินเล่นออกกำลังกายเบาๆ เพียงเท่านี้ก็เผาผลาญพลังงานไปได้ถึง 527 แคลอรี่แล้วค่ะ


4. ใช้จานขนาดเล็กใส่อาหาร

ใช้จานใส่อาหารขนาดเล็ก แทนจานใบใหญ่ เพียงเท่านี้คุณก็จะรับประทานอาหารน้อยลงมื้อละ 20-25% และลดปริมาณพลังงานจากอาหารมื้อนั้นๆ ได้มากถึง 500 แคลอรี่เลยทีเดียว

ที่สำคัญ การเปลี่ยนมาใช้จานขนาดเล็ก มีข้อดีตรงที่แม้ว่าปริมาณอาหารจะน้อยลง แต่คุณก็ยังคงสุขใจ เพราะสายตาคุณมองเห็นว่าอาหารยังเต็มจานอยู่

“ถึงจะใส่อาหารจนเต็ม แต่ปริมาณอาหารในจานก็ไม่ได้มากนัก” นักวิจัยมหาวิทยาลัย Massachusetts ให้ข้อมูล


5. เลี่ยงกาแฟหวานมัน ..หันมาจิบเอสเปรสโซ

กาแฟแก้วโปรดที่รสชาติหวานมัน แถมแต่งหน้าด้วยวิปปิ้งครีม (whipping cream) ถึงจะรสชาติอร่อยเหาะ แต่ก็อาจให้พลังงานได้มากถึง 670 แคลอรี่เลยทีเดียว ทั้งนี้เพราะเจ้ากาแฟหวานมันนั้น มีทั้งส่วนผสมของวิปปิ้งครีม นมข้นหวาน และน้ำตาล ที่แต่ละสิ่งให้ปริมาณพลังงานมากโข

คงดีต่อสัดส่วนไม่น้อย ถ้าคอกาแฟเช่นคุณจะเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มกาแฟหวานๆ เติมวิปปิ้งครีม มาเป็น กาแฟร้อน อย่างเอสเปรสโซ (Espresso) ที่แม้จะเสิร์ฟเพียง ชอต (แก้วแบบจอก) เล็กๆ แต่เข้มถึงใจ

ที่สำคัญขอบอกไว้ว่าเอสเปรสโซ 1 ชอต (แบบไม่เติมครีมเทียมและน้ำตาล) ให้พลังงานเพียงแค่ 30 แคลอรี่เท่านั้นฉะนั้น

เมื่อเทียบกับกาแฟรสชาติหวานมันบวกวิปปิ้งครีม เอสเพรสโซให้พลังงานน้อยกว่าถึง 640 แคลลอรี่เลยทีเดียว


6. เลี่ยงทานอาหาร เป็นกลุ่มใหญ่

“การทานอาหาร ที่มีเพื่อนร่วมโต๊ะ 7 คน จะทำให้คุณกินอาหารได้มากขึ้นถึง 96%” ดร. Brian Wansink ผู้เขียนหนังสือ Mindless Eating ระบุ

เหตุผลก็เพราะเมื่อมีผู้ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกันหลายคน คุณจะพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน แม้อิ่มแล้ว ก็ยังตักหยิบอาหารเข้าปากอย่างไม่หยุดหย่อน หรือแม้แต่คุณจะอิ่มแสนอิ่ม แต่ประเดี๋ยวก็คงได้ยินการเคี่ยวเข็ญ ‘อีกนิดสิ... อีกหน่อยน่า... เหลือนิดเดียวเสียดายของ’ เมื่อนั้นคุณก็อาจใจอ่อน ทานเข้าไปอีก ทั้งที่ท้องแทบจะแตกอยู่แล้ว

ฉะนั้นหากอยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก อยากลดปริมาณอาหาร ลองแข็งใจทานอาหารคนเดียว หรือไม่ก็เลี่ยงสังสรรค์ทานอาหารกับแขกเหรื่อไปก่อน ง่ายๆ แค่นี้คุณก็สามารถลดพลังงานได้ถึง 500 แคลอรี่แล้วจ้า


7. หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงโดยใช้น้ำมัน

เพราะน้ำมันเพียง 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงานได้มากถึง 124 แคลอรี่ ลองหลับตาคำนวณดูสิคะ ผัดผัก 1 จานใส่น้ำมันไม่ต่ำกว่า 1 ช้อนโต๊ะแน่ ฉะนั้นหากอยากควบคุมน้ำหนักรักษาทรวดทรง ลองเปลี่ยนมาทานอาหารประเภท ต้ม นึ่ง ตุ๋น ที่ไม่ต้องใช้น้ำมันดูบ้าง แล้วคุณจะลดความอ้วนได้เห็นผลแน่ๆ

ที่สำคัญ อย่าลืมสอดส่อง มองหา “น้ำมันแฝง” ที่อาจซ่อนกายมาโดยคุณคาดไม่ถึงด้วยล่ะ เห็นกันบ่อยๆ ก็เช่น ตั้งใจอยากลดน้ำหนัก อุตส่าห์ทานก๋วยเตี๋ยววุ้นเส้น หวังลดปริมาณแคลอรี่ แต่ดันขอน้ำมันกระเทียมเจียวราดใส่ก๋วยเตี๋ยวมาซะเยอะ ..แบบนี้ไม่ไหวน๊า (-_-“)


8. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

“การนอนหลับพักผ่อนน้อยเกินไป ทำให้คุณอยากทานขนมขบเคี้ยวมากขึ้น”

ผลงานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัย Chicago ยืนยันว่า ผู้ที่นอนหลับเพียง 5 ชั่วโมงครึ่ง จะมีความต้องการขนมขบเคี้ยวมากขึ้นในระหว่างวัน ฉะนั้นวิธีแสนง่ายในการจะควบคุมน้ำหนักได้ คือ เริ่มจากการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยลดปริมาณพลังงานได้มากถึง 1,087 แคลอรี่เชียวหล่ะ


9. ฟังความรู้สึก “อิ่ม” ของท้อง

ลองให้ความสำคัญรับฟังความรู้สึกของ “ท้อง” ตัวเองเสียหน่อยค่ะ เพราะคุณสาวๆ หลายท่านที่บางครั้งท้องของคุณน่ะอิ่มแสนอิ่ม แต่ตัวเองเสียดายของ หรือแพ้ความอยากทานของตัวเอง สุดท้ายเลยต้องทานอัดแน่นเข้าไป จนจุกเสียดก็ยอม

ฟังเสียงร่างกายของคุณหน่อยเถอะค่ะ หากอิ่มแล้วก็ไม่ต้องฝืนทานเข้าไปจนเกลี้ยงจานทุกมื้อ ทานแต่พอเหมาะ ทานแต่เพียงอิ่ม วิธีง่ายๆ เท่านี้ ก็จะสามารถลดพลังงานได้มากถึง 500 แคลอรี่ต่อวันแล้ว


10. ทานขนมขบเคี้ยว แค่ครึ่งถุง

เคยมั้ยคะ? ซื้อขนมขบเคี้ยว หรือมันฝรั่งทอดมาสักห่อ เป็นต้องตะบี้ตะบันทานให้หมดถุง ไม่หมดไม่เลิก บ้างให้เหตุผลดีๆ กลัวเก็บไว้นานจะไม่กรอบ หมดอร่อย สุดท้ายเลยต้องทานเยอะเกินโดยปริยาย

ลองเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ หันมาซื้อขนมห่อเล็กๆ จะได้ไม่ต้องเสียดาย เมื่อทานไม่หมด หรือหากจำเป็นต้องซื้อห่อใหญ่ แต่ทานไม่หมด ก็อดใจพับเก็บมัดปากถุงให้ดีเพื่อหลีกหนีมดแมลง ลองคิดดูสิ หากขนม 1 ถุงให้พลังงาน 200 แคลอรี่ แต่คุณลดปริมาณลงโดยทานเพียงครึ่งถุง ก็ลดไปได้แล้วง่ายๆ กว่า 100 แคลอรี่


ที่มา
http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9540000110310

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

9 เทคนิค ปลอดภัยในลานจอดรถ

คุณผู้หญิงควรอ่าน

9 เทคนิค ปลอดภัยในลานจอดรถ



เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาหลายคนคงได้ยินข่าวสลดใจขึ้นในกรุงเทพฯ กับข่าวคนร้ายขับรถชนและไล่ยิงตำรวจ รวมไปถึงการจี้ตัวประกันหญิงสาวจนนำไปสู่การวิสามัญฆาตกรรม ซึ่งในขณะนี้หลายภาคส่วนก็ได้เข้าเยียวยาผู้ที่ได้รับความเสียหายทั้งจิตใจ ทรัพย์ และชีวิตกันแล้ว... เราก็ขอเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งกำลังใจให้

การจะป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ให้เกิดขึ้นอีกนั้นดูจะเป็นเรื่องยาก เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ กับใคร ซึ่งอาจจะเป็นตัวเราเองก็ได้ ดังนั้น วันนี้เราเลยมีวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นสำหรับสาว ๆ ที่ต้องขึ้นรถ ขับรถคนเดียว รวมไปถึงคุณผู้ชายบางคนด้วย

1. มองให้รอบด้าน : จริงอยู่ว่าเราอาจจะจอดรถที่เดิมทุกวันและมั่นใจว่าปลอดภัย แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันที่ภัยอาจจะมาถึงตัวได้ทุกขณะ ดังนั้นเมื่อจะเดินมาบริเวณที่จอดรถควรจะมองซ้าย ขวา หน้า หลัง เพื่อสำรวจว่าอาจจะมีใครหรืออะไรซุ่มอยู่หรือไม่เพื่อความปลอดภัยเบื้องต้นค่ะ

2. เมื่อขึ้นรถได้แล้วควรปิดประตูและล็อกรถทันที : จากการสำรวจพบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่เมื่อเปิดประตูขึ้นไปนั่งแล้วมักจะเปิด ประตูรถค้างไว้เพื่อวางของ เอื้อมหยิบของ หรือแม้แต่แต่งหน้า การกระทำเช่นนี้ค่อนข้างเสี่ยงสำหรับใครที่จอดรถไว้ในที่เปลี่ยว หรือแม้แต่อาจจะมีคนร้ายดูลาดเลาและรับรู้พฤติกรรมนี้จนเป็นช่องทางในการบุก เข้าจี้และทำร้ายได้ค่ะ

3. อย่าห่วงสวย : อย่างที่บอกว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนเมื่อขึ้นรถได้ก็จะจัดแจงแต่งหน้าทำผมตัวเองเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะส่องกระจก ทาลิปสติก ปัดขนตา ซึ่งอาจจะมองว่าเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ใช้เวลาไม่นาน แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขที่เราเผลอนี่แหละค่ะที่จะเปิดโอกาสให้คนร้ายเข้ามา ประชิดได้ถึงรถแบบไม่รู้ตัวเช่นกัน

4. กระจกมองข้างและมองหลังนั้นสำคัญ : กระจกทั้งสองแบบนี้จะเป็นผู้ช่วยเราได้ดีไม่เพียงแต่เฉพาะเวลาขับรถเท่านั้น ค่ะ ในเวลาที่ขึ้นรถในลานจอดรถ หรือในที่ต่าง ๆ กระจกเหล่านี้จะเป็นหูเป็นตาได้ด้วย ซึ่งเราอาจจะต้องคอยมองอยู่เสมอว่าในขณะที่ขึ้นไปนั่งบนรถแล้วนั้นมีใครหรือ อะไรกำลังตามเรามาทางด้านข้างหรือด้านหลังหรือไม่ จะได้เตรียมหลบหนีได้ทันหากเห็นความผิดปกติ

5. คุยโทรศัพท์ขณะขึ้นรถ : สถิติในต่างประเทศรายงานว่าเกิดเหตุการณ์ปล้นจี้ขณะที่เจ้าของรถกำลังใช้ โทรศัพท์มือถือในระหว่างการเดินไปที่รถ เปิดประตูรถเยอะมาก เพราะเป็นช่วงที่มักจะขาดสมาธิและความใส่ใจในการมองซ้ายขวา รวมถึงทำให้กิจกรรมต่าง ๆ ช้าลง เช่น เก็บของ หรือการเปิดปิดรถช้าลง จึงทำให้คนร้ายบุกเข้าถึงตัวได้ง่ายขึ้น

6. เดินให้ไว : อย่ามัวแต่เดินเอ้อระเหย หรือย่ามใจว่าเป็นลานจอดรถในตึกออฟฟิศตัวเองแล้วจะปลอดภัยนะคะ เมื่อมาถึงลานจอดรถแล้วให้รีบเดินขึ้นรถทันที เพราะหากเดินช้าหรือหยุดยืนทำธุระ โดยเฉพาะบริเวณจุดอับที่ค่อนข้างมืดหรือไม่มีคนผ่านไปมามากนักก็อาจจะเสี่ยง กับการปล้นจี้ได้

7. เตรียมของให้พร้อม : หลายคนชอบไปยืนหากุญแจรถอยู่ข้างรถตัวเอง ยิ่งใครที่กระเป๋าใบใหญ่ กระเป๋ารกๆ ด้วยแล้วล่ะก็ หากันนานเลย ทางที่ดีก่อนลงมาถึงลานจอดรถหรือก่อนถึงรถควรจะถือกุญแจอยู่ในมือไว้ให้ พร้อมเลยค่ะ เมื่อถึงจะได้ขึ้นรถได้ทันที

8. รีบสตาร์ท รีบออกตัว : หลายคนเมื่อขึ้นรถ ล็อกรถแล้วคิดว่าตัวเองจะปลอดภัยก็เลยนั่งหาของ จัดของในรถ หรือกดโทรศัพท์มือถือ พฤติกรรมนี้ควรเลิกได้แล้วค่ะ เมื่อขึ้นรถอย่างปลอดภัยแล้ว ให้รีบสตาร์ทรถและออกมาจากลานจอดรถหรือบริเวณที่เป็นจุดเสี่ยงทันที เพราะยิ่งเรานั่งอยู่นาน คนร้ายก็อาจจะเข้ามาหาเราได้ทุกเมื่อเช่นกัน

9. เพื่อนคู่ใจ : ถ้าบังเอิญลานจอดรถหรือที่ที่เราจอดรถนั่นเปลี่ยว หรือเกิดความไม่มั่นใจให้หาเพื่อนเดินไปด้วยกันค่ะ อาจจะเป็นคนที่ต้องไปเอารถที่เดียวกัน หรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริเวณลานจอดรถนั่นเอง เพราะอย่างน้อยๆ ถ้ามีเพื่อนไปด้วยก็อุ่นใจ หรือคนร้ายอาจจะไม่กล้าเข้ามาทำร้ายค่ะ

ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้กันนะคะ ทั้งคุณสาว ๆ และหนุ่ม ๆ ที่ต้องขับรถคนเดียว เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองและลดปัญหาอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ที่มา

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

เมนูเพื่อสุขภาพคุณสาว ๆ สำหรับหน้าร้อนนี้

เมนูเพื่อสุขภาพคุณสาว ๆ สำหรับหน้าร้อนนี้

ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ควรจะรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และที่สำคัญคุณคงไม่อยากมีไขมันส่วนเกินเพิ่มขึ้นมาด้วยหรอกนะ จริงมั้ย?? เพื่อที่จะแน่ใจว่าคุณผู้หญิงจะยังคงสามารถรักษาหุ่นในช่วงหน้าร้อนได้อยู่ วันนี้เราจึงมีเมนูสำหรับเติมความสดชื่นมาฝากค่ะ...

1.แตงโม

แน่นอนล่ะ เวลาถึงหน้าร้อนทีไร ผลไม้ที่เรานึกถึงอย่างแรกก็คือแตงโม ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน และรสชาติหวานฉ่ำ ลองดูสักชิ้น รับรองว่าคุณจะรู้สึกสดชื่นแน่


2.กล้วย

ในวันที่อากาศร้อนจัด ๆ ลองหั่นกล้วยชิ้นเล็ก ๆ แล้วเอาไปแช่ในน้ำในช่องใส่น้ำแข็งดูสิ คุณจะรับรู้ถึงรสชาติหวานเย็น กรุบกรอบ และอร่อยด้วย เมนูนี้จึงถือได้ว่าเป็นไอศกรีมอีกทางเลือกหนึ่งที่สำคัญสำหรับสาว ๆ เพราะมันอุดมไปด้วยโพแทสเซียมและสารอาหารอย่างมากมาย


3.แครอทอ่อน

นี่เป็นเมนูที่สำคัญในช่วงระหว่างมื้ออาหาร ลองรับประทานแครอทอ่อนหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ดู แล้วคุณจะติดใจจนวางไม่ลงเลยล่ะ

4.น้ำผลไม้ปั่น

น้ำผลไม้ปั่นเป็นของฮิตอีกอย่างหนึ่งในช่วงหน้าร้อน เพียงแค่คุณใส่น้ำแข็งป่น โยเกิร์ตรสธรรมชาติ เบอร์รี่แช่เย็น และกล้วยอีกสักชิ้น ปั่น 30 วินาที แล้วคุณจะได้น้ำผลไม้ปั่นเย็นชื่นใจที่มีวิตามินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และทำให้สดชื่นอีกด้วย

5.ธัญพืช โยเกิร์ต และผลไม้สด

อาหารเช้าเพื่อสุขภาพพร้อมกับความอร่อยสำหรับหน้าร้อนนี้ เลิกคิดถึงเบคอนหรือขนมวาฟเฟิลไปได้เลย ลองหันมากินของที่มีคาร์โบไฮเดรต วิตามิน และโพรไบโอติค อย่างเช่นเมนูนี้ คุณจะได้รับพลังงานมาก และพร้อมสำหรับออกไปรับวันใหม่

6.โยเกิร์ตรสธรรมชาติผสมน้ำผึ้ง

เมนูง่าย ๆ พื้น ๆ และไขมันต่ำ แต่ให้พลังงานสูงสำหรับต่อสู้กับอากาศร้อน ๆ ในยามบ่าย ดีกว่าที่คุณจะเคี้ยวหมากฝรั่งหรือช็อคโกแลตอีกนะ

7.ป๊อปคอร์น

แทนที่จะกินของทอดมัน ๆ ลองเปลี่ยนมาเป็นป๊อปคอร์นแบบเค็มนิด ๆ และหลีกเลี่ยงแบบที่ใส่เนยด้วยล่ะ

8.สลัด

สลัดเป็นเมนูที่สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ใส่ผักอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ นอกจากอร่อย สะดวกและไม่ทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มอย่างแน่นอน

เมนูเพื่อสุขภาพสำหรับหน้าร้อนนี้ ซึ่งนอกจากความอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย และสามารถรักษาหุ่นของคุณผู้หญิงให้ผอมเพรียวอีกด้วย



ที่มา
http://health.kapook.com/view25003.html

เปลี่ยนลุครับหน้าร้อน ด้วยทรงผมสั้นเก๋ ๆ

อากาศหนาว ๆ เย็น ๆ ไม่ทันไร เผลอแป๊บเดียวก็เข้าหน้าร้อนซะแล้ว สำหรับสาว ๆ ที่กำลังอยากเปลี่ยนลุคด้วยการเปลี่ยน ทรงผม เก๋ ๆ ให้เข้ากับหน้าร้อน วันนี้เรามี แบบทรงผมสั้น สวย ๆ เท่ ๆ เก๋ ๆ มาฝากหลากแบบหลายสไตล์ เหมาะสำหรับสาวขี้เบื่อที่ต้องการแปลงโฉมตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ (อากาศร้อน ๆ)

อย่างว่า... ไว้ผมยาวมาก็นาน ตัดผมสั้นซะบ้างก็คงดีไม่หยอก โดยเฉพาะการตัดผมสั้นในหน้าร้อน จะช่วยเพิ่มลุคของคุณให้ดูร้อนแรงเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด (โดนใจหนุ่ม ๆ) เพราะเสื้อผ้าแฟชั่นหน้าร้อนนั้นดูเข้ากันดีกับ ทรงผมสั้น เป็นที่ซู้ดดดด...

เอาเป็นว่า... เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดู แบบทรงผมสั้น กันเลยดีกว่า ชอบแบบไหน ถูกใจแบบใด ก็เลือกไปเป็นแบบให้ช่างตัดผมประจำตัว ตัด ซอย เซ็ท กันได้เลย...

ดูรูปทรงผมได้ที่นี่..


ที่มา
กะปุก

สิวขึ้นรอบริมฝีปากจัดการกับมันอย่างไร

สิวขึ้นรอบริมฝีปากจัดการกับมันอย่างไร (ลิซ่า)

มีสิวขึ้นรอบริมฝีปากอยู่เรื่อยเลย เป็นเพราะอะไรกันแน่ และมีวิธีไหนที่จะจัดการกับมันได้บ้าง?

สิ่งที่อาจเป็นไปได้ก็คือ ลิปกลอสของคุณอาจเป็นต้นตอของปัญหาสิวรอบปาก เนื่องจากมันสามารถอุดตันรูขุมขนบนผิวรอบริมฝีปากได้ พยายามใช้ลิปกลอสสีอ่อนใส เนื่องจากมีเม็ดสีน้อยกว่า จึงมีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขนน้อยกว่าด้วย

และลองมองหาแบบที่มีส่วนผสมหลักที่ระคายเคืองต่อผิวน้อยกว่า อย่างเช่นแพนธีนอลหรือน้ำมันมะกอก แต่ถ้าการเปลี่ยนลิปกลอสไม่ช่วยให้ดีขึ้น สาเหตุอาจมาจากอย่างอื่น อย่างเช่นการใช้โทรศัพท์ที่สกปรก หรือน้ำมันจากอาหารมัน ๆ ที่ตกค้างอยู่รอบริมฝีปาก พยายามหลีกเลี่ยงต้นเหตุดังกล่าว และขจัดสิวด้วยการทาโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกรอบ ๆ ขอบปาก ทุกครั้งที่ล้างหน้า




ที่มา
http://women.kapook.com/view24468.html

เผยผิวหน้าใสไร้สิวเสี้ยน ด้วยไข่ขาวกับมะนาว

เผยผิวหน้าใสไร้สิวเสี้ยน ด้วยไข่ขาวกับมะนาว (Lisa)

สิวเสี้ยน เป็นเหมือนขยะหรือเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งยังตกค้างอยู่ในรูขุมขน มักเกาะกลุ่มอยู่ตรงส่วนที่มีความมันเช่นหน้าผาก จมูก และคาง เรามีวิธีง่าย ๆ ในการกำจัดสิวเสี้ยนที่คุณสามารถทำได้เองที่บ้าน ด้วยวัตถุดิบพื้นฐานง่าย ๆ จากในครัวอย่างไข่ขาวและมะนาวมาฝาก

อุปกรณ์และส่วนผสม

- โฟมสครับผิว
- ไข่ขาว
- มะนาว
- กระดาษเช็ดปาก


Step 1
ใช้โฟมหรือสบู่เหลวล้างหน้าทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด จากนั้น ใช้โฟมสครับผิวขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างในรูขุมขนอีกที ขัดผิววนเป็นวงกลม แล้วล้างออกให้สะอาด

Step 2
เทน้ำร้อนจัดลงในหม้อหรือชามใบใหญ่ หรืออาจเปิดน้ำร้อนในอ่างล้างหน้า ก้มหน้าลงเพื่อให้ไอน้ำร้อนช่วยเปิดรูขุมขน เพื่อให้การมาส์กได้ผลดียิ่งขึ้น

Step 3
ผสมน้ำมะนาว 1/4 ถ้วย กับไข่ขาวล้วน 2 ฟองในชาม ผสมให้เข้ากัน

Step 4
ทาส่วนผสมลงบาง ๆ บนใบหน้า เน้นส่วนที่ต้องการกำจัดสิวเสี้ยนมากเป็นพิเศษ

Step 5
ตัดแบ่งกระดาษเช็ดปากเป็นสี่เหลี่ยมทั้งหมด 5 ชิ้น แล้วแปะลงบนหน้าผาก จมูก คาง และแก้มทั้งสองข้าง กระดาษเช็ดปากจะติดแน่นบนผิวหน้า ปล่อยทิ้งไว้จนกระดาษเริ่มแข็งตึง ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

Step 6
ค่อย ๆ ลอกกระดาษเช็ดปากออก จะเห็นว่ามีสิวเสี้ยนติดออกมาด้วย จากนั้น ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจัดเพื่อปิดรูขุมขนค่ะ


Tips

มะนาว มีกรดอัลฟาไฮดร็อกไซด์ที่มีสารขัดผิวตามธรรมชาติและรักษาสิว สามารถจัดการกับสิวเสี้ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนไข่ขาวนั้น มีส่วนช่วยตรึงอิลาสตินในผิว ทำให้รูขุมขนกระชับ และยังดูดซับน้ำมันส่วนเกินในผิว ที่สำคัญยังช่วยบำรุงผิวที่เริ่มมีริ้วรอยได้อีกด้วย

รู้จักวิธีกิน...เพื่อหน้าเด้ง

รู้จักวิธีกิน...เพื่อหน้าเด้ง



มีความพยายามมากมายในการที่ธุรกิจความงามจะหาครีมมาช่วยกระชับใบ หน้า และกำจัดริ้วรอยให้กับคุณสาว ๆ ที่นับวันเป็นสาวน้อยลง และในที่สุดทุกคนก็ค้นพบความลับว่า "คอลลาเจน" เป็นต้นเหตุสำคัญของการเด้งหรือไม่เด้งของใบหน้าคนเรา

คอลลาเจนเป็นโครงสร้างหลัก และเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างสุดของผิวหนังคนเรา มันจึงจำเป็นต้องเก็บรักษาความอ่อนนุ่มชุ่มชื่นของผิวไว้ทั้งหมด มันจึงเปรียบเสมือนฟูกหรือเบาะนุ่ม ๆ ในขณะที่คุณอายุน้อยเบาะนี้จะเป็นตัวสร้างความยืดหยุ่น แต่เมื่อไหร่ที่คุณอายุมากมันจะเริ่มหย่อนลงเล็กน้อย

และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากเรื่องของอายุและปริมาณของคอลลาเจนที่มีอยู่ในผิวหนัง เกิดการสลายตัว ขณะเดียวกันก็ถูกให้หนาแน่นขึ้นเช่นกัน

ในวัยหนุ่มสาวสุขภาพผิวของคนเราจะมีเส้นใยคอลลาเจนลอยเป็นจำนวนมาก ซึ่งเส้นใยเหล่านี้จะเป็นตัวที่คอยดึงความยืดหยุ่นของผิวให้กลับมาสู่จุดเดิม หลังจากการที่เรายิ้มหรือหน้าบึ้ง แต่เมื่อไรที่คอลลาเจนเริ่มเสื่อมสลาย ผิวหนังของเราก็จะสูญเสียความยืดหยุ่น และไม่สามารถเด้งกลับมาสู่จุดเดิมได้ จึงเป็นที่มาของรอยเหี่ยวย่นนั่นเอง

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มาจากความจริงที่ว่า เมื่อเราอายุ 25 ปีขึ้นไป เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายจะเริ่มผลิตคอลลาเจนลดน้อยลง โดยปกติแล้วการลดลงของเบาะหรือฟูก นิ่มนี้ จะทำให้เกิดร่องในชั้นผิว และเมื่อชั้นผิวเกิดร่องมันก็จะไม่กักเก็บความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ และไม่สามารถส่งต่อความชุ่มชื้นไปสู่ผิวชั้นบนสุดได้ หรือที่มักเข้าใจได้ดีว่าผิวเกิดรอยเหี่ยวย่นนั่นเอง

ขณะเดียวกัน ครีมทาหน้าต่าง ๆ ก็มีการผลิตขึ้นมาเพื่อให้สามารถป้องกันในเรื่องของอายุ เช่นกัน โดยมีใบฉลากที่อ้างว่าได้บรรจุส่วนผสมที่มหัศจรรย์ โดยอวดอ้างและยืนยันว่ามีโมเลกุลของคอลลาเจนจำนวนมากผสมอยู่ด้วย และจะแทรกซึมเข้าไปสู่ผิวหนังได้ดี แต่ทำไมครีมตัวใหม่จากลอรีอัลจึงไม่ถูกต่อต้าน

เรียกได้ว่าเป็นความพยามที่ต้องการให้คอลลาเจนสามารถเข้าสู่ผิวหนังได้โดย วิธีภายนอก พวกเขาอ้างว่าสามารถนำคอลลาเจนมาผลิตเป็นเซลล์ ที่ช่วยทำให้เกิดความอ่อน เยาว์กลับมาสู่ผิวหนังได้ แต่จะมีราคาค่อนข้างแพงมากสำหรับวัตถุชนิดนี้

ครีมที่เปิดตัวภายใต้แบรนด์ "วิกชี่" เจ้าของผลิตภัณฑ์เดียวกับลอรีอัล ได้กำหนดราคาครีมชนิดนี้ไว้ที่ 27 ยูโร ซึ่งราคานี้ยังไม่สามารถซื้อได้จนกว่าจะถึงเดือนเมษายน แต่ยังมีหนทางอื่นที่คุณสามารถเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิวของคุณได้ โดยไม่ต้อง พึ่งพาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีราคาแพง และวิธีนั้นก็คือการกินอาหารนั่นเอง

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง รวมถึงนักโภชนาการได้ออกมาระบุว่า อาหารที่คุณชอบรับประทานมากที่สุดนั้น ช่วยทำให้ผิวของคุณสามารถเก็บกักคอลลาเจนจำนวนมากไว้ได้ วางทุกอย่างไว้ด้วยกัน และผลลัพธ์ที่ได้คือ การมีใบหน้ายกกระชับจากอาหารที่รับประทาน..เรามาดูกัน







เต้าหู้และถั่วเหลือง

วัยหมดประจำเดือนเป็นวัยที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดน้อยลง ซึ่งฮอร์โมน ชนิดนี้จะมีส่วนทำให้ระดับคอลลาเจนในผิวลดลงเช่นกัน จากการวิจัยชี้ให้เห็น ว่าคอลลาเจนประเภทใดประเภทหนึ่ง จะลดลงร้อยละ 30 หลังจากช่วง 5 ปีแรกของการหมดประจำเดือน

แต่จากการวิจัยยังค้นพบว่า ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนนั้น มีระยะการเก็บกักระดับคอลลาเจนในผิวได้มากที่สุด โดยคิดเป็น 6 เท่า หรือร้อยละ 6 ภายในระยะเวลา 6 เดือน

ในถั่วเหลืองนั้นมีสารที่เรียกว่า "Phytoestrogens" (สารเคมีที่พบได้ตาม ธรรมชาติ โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่ว) ซึ่งสารตัวนี้สามารถช่วยทดแทนฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีอยู่ในร่างกายได้ และถ้าคุณอยู่ในวัยสูงอายุ ผลิตภัณฑ์นมถั่ว เหลืองที่คุณดื่มอยู่เป็นประจำ จะช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื่นและคอลลาเจนในผิวไว้ได้





ปลาแซลมอน

ปลาแซลมอนและน้ำมันปลาอื่น ๆ เช่น ปลาแมคคอเรล ปลาแฮร์ริ่ง และปลาซาร์ดีน มักได้รับการประกาศให้รู้ว่า มีสารอาหารที่จำเป็นต่อผิวหนัง เพราะในปลาเหล่านี้จะมีระดับโอเมก้า 3 หรือกรดไขมันอิ่มตัว ที่ช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื่นให้แก่ผิวได้

อย่างไรก็ตาม ในประเทศสหรัฐอเมริกา ดร.นิโคลราส เพอร์ริโคน ยังได้สนับสนุนเกี่ยวกับน้ำมันในปลาเหล่านี้ว่า สามารถช่วยลดการอักเสบที่เกิดขึ้นในผิวหนังให้ลดลงได้ และเขาเชื่อว่าการอักเสบของผิวหนังนั้น ไม่สามารถมองเห็นได้ เพราะว่ามันเกิดขึ้นอยู่ใต้ผิวหนังนั่นเอง ดังนั้น ระดับความไวของคอลลาเจน ที่เกิดจากย่อยโดยการรับประทานปลาแซลมอน จะช่วยป้องกันอาการอักเสบ รวมทั้งช่วยเป็นบล็อกป้องกันคอลลาเจนไว้ที่ผิวได้






ไก่งวง

ไก่งวงนั้นเรียกได้ว่าเป็นแหล่งของโปรตีนเลยก็ว่าได้ เพราะโปรตีนชนิดนี้จะ เป็นตัวระบบป้องกันคอลลาเจนในผิวเอาไว้ ซึ่งโปรตีนชนิดนี้จะถูกบรรจุให้อยู่ในรูปของโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า "Carnosine" (เป็นยาต้านการเสื่อมสภาพของผิว ซึ่งจะพบได้ในกล้ามเนื้อ)

สาร Caarnosine นี้ สามารถช่วยชะลอกระบวนการเกิด เส้นใยคอลลาเจนสลายตัวนั่นเอง ขณะเดียวกันหากคุณรับประทานไก่งวง จะช่วยทำให้คุณเก็บรักษาคอลลาเจนไว้ในผิวของคุณได้ โดยที่ผิวของคุณจะอ่อนนุ่มชุ่มชื่น และผลลัพธ์ที่ตามมาคือผิวหนังของคุณจะได้มากกว่าความหยืดหยุ่น






ผักขม

ผักสีเขียวที่มีใบอยู่เป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับผักขมนั้น มีอยู่ด้วยกัน หลายชนิดไม่ว่าจะเป็น ผักกะหล่ำปลี ผักแพงพวย ผักคะน้า ซึ่งผักเหล่านี้จะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เรียกกันว่าสารลูทีน (สารที่เหลืองที่พบได้ในเมล็ดพืช หรือไข่แดง) และสารต้านอนุมูลอิสระนั้น มีความสำคัญมาก ถ้าหากคุณต้องการเก็บกักคอลลาเจนเอาไว้ในผิว เพราะคนทั่วไปมักคิดว่าสารชนิดนี้สามารถช่วยล้างพิษจากสารเคมี

สารต้านอนุมูลอิสระเป็นสารระเหย และเป็นสารเคมีที่สร้างขึ้นจากร่างกาย ซึ่งการระเหยนั้นจะได้รับปัจจัยจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดหรือมลพิษดังนั้นระบบการป้องกันที่มีอยู่ในตัวคุณนั้น เปรียบได้กับการที่คุณสามารถรักษาระดับคอลลาเจนในร่างกายไว้ได้อย่างยาวนาน





บลูเบอร์รี่

วิตามินซีเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างคอลลาเจน เช่นเดียวกับผลเบอร์รี่ และผลบลูเบอร์รี่ รวมถึงสตรอเบอร์รี่ ซึ่งผลไม้เหล่านี้จะอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นส่วน ประกอบสำคัญในการผลิตคอลลาเจน และเป็นตัวช่วยเสริมอาหารได้ ในกรณีของผู้ที่ขาดวิตามินซีอย่างรุนแรงนั้น จะทำให้เขาเป็นผู้ที่มีพัฒนาการที่ช้า เพราะการขาดวิตามินซี จะส่งผลต่อเนื้อเยื่อและฟัน รวมถึงกระดูกอ่อนและเส้นเอ็นให้อ่อนแอลง

ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เช่น การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าร่างกายของคุณมีสิ่งหนึ่งที่จำเป็นมากในการช่วยสร้างระบบป้องกัน รวมทั้งมีส่วนช่วยในการผลิตคอลลาเจน นอกจากนี้มันยังจะช่วยหนุน ร่างกายของคุณให้มีระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่เหมาะสมอีกด้วย

เมื่อคุณเริ่มมีอายุมากขึ้นควรหลีกเหลี่ยงอาหารหวานหรืออาหารประเภทแป้ง เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะเกิดการแตกตัวอยู่ในรูปของน้ำตาลที่เป็นศัตรูกัน (ถูกต้องที่สุด น้ำตาลธรรมชาติถูกบรรจุอยู่ในผักใบเขียวรวมถึงผลเบอร์รี่ แต่หากคุณรับประทานสิ่งเหล่านี้มากจนเกิน จะทำให้ประเสียประโยชน์มากกว่าได้รับประโยชน์)

ที่มา
http://women.kapook.com/view22035.html

เทคนิคการล้างหน้า แบบมืออาชีพ

เทคนิคการล้างหน้า แบบมืออาชีพ



ล้างหน้าแบบมืออาชีพ (Lisa)

ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ผิวหน้าของเรา เนียนสวย ไร้สิว และเปล่งปลั่งตลอดเวลา วันนี้เรามี เคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างมืออาชีพ มาฝากกันค่ะ

ขั้นตอนการล้างหน้าแบบมืออาชีพ

ลูบไล้คลีนเซอร์ลงบนใบหน้า ลำคอ และเนินอก (อย่าหยุดอยู่แค่ขากรรไกร)

การนวดด้วยคลีนเซอร์ จะช่วยกระตุ้นความเปล่งปลั่งให้ผิวได้ โดยเริ่มจากการค่อย ๆ ลากมือลงไปที่คอ เพื่อกระตุ้นระบบระบายของเสียภายในร่างกาย จากนั้น ลากนิ้วเป็นแนววงกลมออกจากใบหน้าและขึ้นไปข้างบน

ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ถ้าใช้น้ำร้อนเกินไปจะทำให้ผิวเสียได้ แต่ถ้าใช้น้ำเย็นเกินไป ก็จะทำให้รูขุมขนหดตัว จนทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ได้ยาก และอย่าลืมว่า หลังล้างหน้าทุกครั้งควรตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ทันที

สารพัดเทคโนโลยีกระชับผิวหน้า

สารพัดเทคโนโลยีกระชับผิวหน้า



ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การศัลยกรรมเสริมความงาม ที่กำลังเป็นที่นิยมมากที่สุดทั่วโลกในขณะนี้ คงจะหนีไม่พ้นการยกกระชับใบหน้าให้เต่งตึง อ่อนเยาว์ เพราะริ้วรอย ถือเป็นปัญหาผิวหน้าอันดับหนึ่งที่สาว ๆ ไม่อยากให้มันมาปรากฎบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย จึงไม่แปลกที่สาว ๆ ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยแห่งริ้วรอย จะรีบหันหน้าหาคลินิกเสริมความงาม เพื่อชะลอริ้วรอยไม่ให้มันเกิดขึ้นจนได้

และเมื่อการมีใบหน้าที่เต่งตึง อ่อนเยาว์ ไร้ริ้วรอย เป็นสิ่งที่สาว ๆ ทุกคนต้องการ เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อการยกกระชับผิวหน้าจึงเกิดขึ้นมากมายให้ได้เลือกใช้กัน ซึ่งวันนี้ กระปุกดอทคอมก็จะขอรวบรวมสารพัดวิธีกระชับผิวหน้ามารวมไว้ที่นี่ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับสาว ๆ ที่กำลังคิดอยากจะยกกระชับผิว แต่จะมีวิธีใดบ้างนั้น ไปดูกันเลยค่ะ

1. การฉีดโบท็อกซ์ โบท็อกซ์ เป็นวิธียกกระชับผิวหน้ายอดนิยมที่จะแพทย์จะฉีดสาร โบทูลินัม ท็อกซิน สารพิษที่ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ และแน่นอนว่า เมื่อมันถูกนำมาใช้กับใบหน้า ไม่ว่าจะบริเวณตีนกา หรือหน้าผาก ก็จะทำให้ผิวที่หดเกร็งอยู่นั้นคลายตัว อีกทั้งยังมีการเจือจางตัวยาผสมกับ โบทูลินัม ท็อกซิน ไปกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิวอีกด้วย จึงทำให้การฉีดโบท็อกซ์ได้ผลดีมากเลยทีเดียว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น สาว ๆ ก็ควรระวังเรื่องการฉีดในปริมาณเยอะ และบ่อยด้วย เพราะจะทำให้หน้าเต่งตึงดูผิดธรรมชาติ และเมื่อฉีดบ่อย ๆ ต่อเนื่องกันนาน ๆ ร่างกายเราอาจจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา ทำให้สามารถกำจัดตัวยา และทำให้ใบหน้าเต่งตึงได้ไม่นานก็กลับมาเหี่ยวย่นอีกก็เป็นได้ สำหรับอายุของการรักษาความเต่งตึงของผิวนั้น อยู่ที่ประมาณ 6 เดือน ก็ต้องฉีดซ้ำค่ะ

2. การฉีด hyaluronic acid เป็นการฉีดเสริมส่วนที่ขาดหายไปในชั้นผิวหนัง เช่น รอยแผลเป็นขนาดเล็ก หลุมสิว ร่องแก้ม ซึ่งได้รับการยอมรับจาก อย. แล้วว่าเป็นสารที่ปลอดภัย ไม่มีการตกค้างในร่างกาย ส่วนผลลัพธ์ที่ได้ก็คล้ายกับการฉีดโบท็อกซ์ นั่นคือ รอยแผลเป็น และรอยลึกตื้นขึ้น แต่การฉีด hyaluronic acid จะดูเป็นธรรมชาติกว่า และสารนี้จะสลายตัวในเวลาไม่เกิน 6 เดือนเช่นเดียวกับโบท็อกซ์ ดังนั้น หากอยากจะมีผิวเต่งตึงยาวนาน ก็ต้องฉีดซ้ำทุก ๆ 6-7 เดือนค่ะ

3. การฉีดไขมัน (Lipofilling) เป็นเทคโนโลยีที่แพทย์จะดูดเอาไขมันของผู้เข้ารับการรักษา จากบริเวณหน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก ออกมาแล้วนำมาผ่านขั้นตอนการเตรียมเซลล์ไขมัน ก่อนที่จะฉีดเข้าไปบริเวณใบหน้าของผู้เข้ารับการรักษา ทำให้แก้มดูเต็มและเต่งตึงขึ้น โดยวิธีนี้ถือว่ามีความปลอดภัยมาก เพราะสิ่งที่ฉีดเข้าไปบนใบหน้านั้น ไม่ใช่สารแปลกปลอม แต่เป็นสิ่งที่ได้จากร่างกายของผู้เข้ารับการรักษาเอง

4. การร้อยไหมทอง เป็นการศัลยกรรมคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว ฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูเต่งตึง สามารถยกกระชับผิวหน้าได้นานถึง 8-15 ปีเลยทีเดียว ซึ่งวิธีการร้อยไหมทองสู่ผิวนี้ แพทย์จะใช้เส้นไหมทองบริสุทธิ์ 99.99% ขนาดเล็กมากร้อยเข้าไปใต้ผิว เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและกระบวนการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว เมื่อเส้นไหมถูกร้อยเข้าไปแล้ว ก็จะเกิดการสร้างคอลลาเจนเกาะหุ้มเส้นไหม ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นกระชับเต่งตึงขึ้น ริ้วรอยตื้นขึ้น และการเข้าไปกระตุ้นการไหลเวียนเลือดของเส้นไหม ก็จะทำให้ผิวหน้าดูมีเลือด ฝาด สุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และคงความอ่อนเยาว์อยู่อย่างนั้นนานกว่า 10 ปี โดยไม่ต้องทำซ้ำอีกบ่อย ๆ ซึ่งผิวหน้าจะเต่งตึงมากที่สุดในช่วง 2-3 ปีแรก ก่อนเส้นไหมทองจะค่อย ๆ กระจายตัวและละลายหายไปหลังจากนั้น และผิวก็จะมีความยืดหยุ่นน้อยลงเรื่อย ๆ ส่วนค่าใช้จ่ายในการรักษานั้น ก็จะแพงหน่อย เพราะคงความอ่อนเยาว์ได้นานสูงสุดถึง 15 ปี ก็เลยทำให้ราคาในการร้อยไหมทองนี้ สูงถึงคอร์สละ 2 แสนถึง 1 ล้านบาทเลยทีเดียว

5. Ultherapy เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในวงการแพทย์ผิวหนัง ที่สามารถยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้คลื่นเสียง Ulthera ซึ่งเป็นคลื่นเสียงที่มีความถี่สูง ไปปรับสภาพใต้ผิวหนัง โดยแพทย์จะปล่อยคลื่นเสียงนี้ลงไปยังผิวหนังบริเวณที่หย่อนคล้อย หรือมีริ้วรอย ซึ่งพลังงานนี้จะเปลี่ยนเป็นความร้อนจุดเล็ก ๆ กระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนเติมเต็มในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหน้าเต่งตึงและเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อผิวหนังบริเวณข้างเคียง แถมยังไม่ต้องเจ็บตัวเหมือนกับวิธียกกระชับใบหน้าหลาย ๆ วิธีด้วย ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาทีต่อการรักษา 1 ครั้ง และจะค่อย ๆ เห็นผลทีละน้อย และชัดเจนที่สุดเมื่อเข้ารับการรักษาติดต่อกันประมาณ 2-3 เดือน ส่วนความปลอดภัยนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะเทคโนโลยนี้มีความปลอดภัยสูงมาก หลังจากเข้ารับการรักษาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษเลย

6. กระชับผิวหน้าแบบแทรมโปลีน เป็นวิธีผ่าตัดเพื่อยกกระชับผิวโดยตรง ซึ่งแพทย์จะดึงใบหน้าในบริเวณที่หย่อนคล้อยให้ตึง เหมือนผ้าใบแทรมโปลีน สามารถยึดอายุผิวอ่อนเยาว์ได้นาน และใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1 สัปดาห์ วิธีนี้ลดภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ไม่ทำลายเส้นประสาท ไม่ก่อให้เกิดภาวะเลือดแข็งตัว ราคาต่อหนึ่งครั้งตอนนี้ประมาณ 160,000 บาท

และวิธีเหล่านี้ ก็คือวิธีการยกกระชับผิวที่ดูเหมือนจะเป็นที่นิยมมากที่สุด อย่างไรก็ดี ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้วิธีใด สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืมเลยก็คือ ความปลอดภัย ความสะอาด และคุณภาพของสถานเสริมความงามที่คุณจะเข้าไปใช้บริการ ซึ่งคุณควรแน่ใจก่อนว่า ศัลยแพทย์นั้นมีความเชี่ยวชาญในการยกกระชับผิววิธีต่าง ๆ จนไม่ทำให้เกิดผลร้ายตามมาได้ ยังไงก็อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ดี ปรึกษาแพทย์ และลองถามกับคนที่มีประสบการณ์ในการยกกระชับผิวนั้น ๆ ด้วยนะคะ ทั้งนี้ก็เพื่อความสวยที่ไม่เสี่ยงของคุณนั่นเองค่ะ


ที่มา
http://women.kapook.com/view24577.html

นอนดึก พฤติกรรมทำผมเสีย-หลุดร่วง



นอนดึก พฤติกรรมทำผมเสีย-หลุดร่วง

ในหมู่ผู้หญิงนอนดึกส่วนใหญ่ มักจะให้ความสำคัญกับการปรนนิบัติผิวหน้า และรอยคล้ำใต้ตาเป็นพิเศษ เพราะมักจะคิดกันว่า ปัญหาผิวคงเป็นปัญหาเดียวที่ต้องจัดการให้ได้ ถ้าเมื่อไหร่มีเวลานอนน้อย หรือนอนหลับไม่เพียงพอ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว การนอนดึก ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่กับผิวพรรณของสาว ๆ เท่านั้นนะคะ ใครจะรู้ว่า การนอนดึกก็ส่งผลกับสุขภาพผมของคุณไม่น้อยเลยล่ะ มันอาจจะทำให้ผมเสีย หรือหลุดร่วงง่าย ๆ ได้เหมือนกัน แถมยังยากที่จะแก้ไขเหมือนปัญหาผิวพรรณของคุณ ๆ เสียอีก วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอหยิบยกเรื่องนี้มาฝากกันค่ะ

เป็นที่รู้กันดีว่า เวลาที่เรานอนหลับพักผ่อนนั้น เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของเราได้ซ่อมแซม และฟื้นฟูระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งการซ่อมแซมนี้ จะส่งผลไปทุกส่วนในร่างกาย เพื่อให้อวัยวะต่าง ๆ ได้ชาร์จแบตและตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า พร้อมใช้งานและเคลื่อนไหวทุกส่วนของร่างกายอีกครั้ง

และเมื่อเส้นผม ก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเช่นเดียวกัน จึงไม่แปลกถ้าหากการพักผ่อนนอนหลับที่เพียงพอ จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพผมยามนอนหลับได้ ตรงกันข้าม ถ้าหากร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ก็จะทำลายสุขภาพผมไปโดยไม่รู้ตัว

และเพื่อเป็นการสนับสนุนหลักการดังกล่าว ทีมแพทย์จากคลินิก เดอะ เบลกราเวีย เซ็นเตอร์ ได้เปิดเผยว่า การนอนดึกจะส่งผลกระทบต่อการทำงานทุก ๆ ระบบในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภูมิคุ้มกันในร่างกาย การหลั่งฮอร์โมน ความแข็งแรงทางด้านร่างกายและจิตใจ และระบบภายในทุกส่วน โดยเฉพาะกับเส้นผม การนอนดึกถือว่ามีอิทธิพลมากมายสุขภาพผมโดยตรงเลยทีเดียว เพราะเส้นผมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่อ่อนแอ เปราะบาง และเสียได้อย่างง่าย ๆ ซึ่งเมื่อเราอดหลับอดนอน หรือร่างกายได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ ภายในร่างกายก็จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และทำให้ความเครียดเริ่มก่อตัวขึ้นภายในโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว ซึ่งความเครียดที่มีนั้น ส่งผลต่อเส้นผมโดยตรง เมื่อคนเราเครียด ผมก็จะร่วงได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้น พฤติกรรมการนอนที่เหมาะสม และเพียงพอในแต่ละวัน จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนเราอย่างมาก สาว ๆ จึงไม่ควรละเลยการดูแลตัวเอง ดูแลเส้นผมด้วยการนอนหลับให้เพียงพอทุกวัน เพื่อไม่ให้สุขภาพผมถูกทำลาย หรือขาดหลุดร่วง ไม่มีชีวิตชีวาได้ และนอกจากจะนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่ขอแนะนำสำหรับคนที่อยากมีผมสุขภาพดี ก็คือ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมยามค่ำคืน อย่างผลิตภัณฑ์ประเภท Overnight Repair ที่ช่วยทำให้สุขภาพผมเงางามมากขึ้น ควบคู่ไปกับการนอนหลับให้เพียงพอด้วย ทั้งนี้เพื่อให้คุณมีสุขภาพผมดีชนิดคูณสอง หรือจะถนอมเส้นผมด้วยการใช้หมอนผ้าไหม หรือซาติน ควบคู่ไปอีกก็ได้ ลดสภาวะผมถูกทำร้ายได้อีกเยอะเลยล่ะค่ะ


ที่มา
http://women.kapook.com/view24704.html

ริ้วรอยแห่งวัย เกิดขึ้นตอนไหน

ริ้วรอยแห่งวัย เกิดขึ้นตอนไหน (Lisa)



ริ้วรอยแห่งวัย ยากนักที่คิดจะหลีกเลี่ยง แต่เราสามารถที่จะ ชะลอ ริ้วรอยแห่งวัยนี้ได้ ถ้าเรารู้ได้ว่า มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เพื่อที่เราจะได้ปกป้องผิวหน้า หรือผิวกายของเราตอนไหนหรือว่าช่วงเวลาใด และถ้าเราได้รู้ว่าช่วงเวลาใดเหมาะสมก็จะได้ทำการป้องกัน ริ้วรอยแห่งวัย ให้เกิดช้าลงได้ รวมถึงการบำรุงผิวหน้า ที่จะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะสามารถเป็นตัวช่วยนัมเบอร์ วันเลยทีเดียวค่ะที่จะช่วยแก้ปัหหา ริ้วรอยแห่งวัย ของคุณได้อย่างชะงัก คุณพร้อมที่จะรู้คำตอบของริ้วรอยแห่งวัยว่าเกิดขึ้นกันตอนไหนบ้างนะ....???

น่ารู้! ริ้วรอยแห่งวัย "เกิดขึ้นตอนไหน...?"

- ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย

- ผิวหนังบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้าเป็นผิวส่วนที่หนาที่สุดของร่างกาย

- ผิวที่ริมฝีปากและรอบดวงตาคือ ส่วนที่บางที่สุด

- ผิวหน้ามีความหนาประมาณ 0.12 มม.

- ผิวหนังทั้งหมดมีน้ำหนักเท่ากับ 16% ของน้ำหนักตัว

- ผิวหนังมีเลือดหล่อเลี้ยงอยู่ 1/4 ของร่างกาย

- 1/3 ของน้ำในร่างกายอยู่ที่ผิวหนัง

ช่วงอายุที่จะเกิดริ้วรอย

- อายุ 18-24 ปี
สาววัยนี้จะเริ่มปรากฏริ้วรอยบาง

- อายุ 25-35 ปี
- เริ่มปรากฏริ้วรอยแห่งวัย

- มีร่องรอยความหย่อนยานบริเวณรอบดวงตา

- เริ่มสูญเสียความยืดหยุ่นของผิวทีละน้อย

- อายุ 35-44 ปี
- ปรากฏริ้วรอยต่าง ๆ มากขึ้น

- ผิวบริเวณรอบดวงตาเริ่มหย่อนยาน

- อายุ 45-55 ปี
- รอยย่นต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น

- ผิวบริเวณรอบดวงตาและแก้มเริ่มหย่อนยาน

- ผิวหยาบกร้าน รูขุมขนขยายใหญ่ขึ้น

จาก
ลิสา

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

10 พฤติกรรมเสี่ยงของผู้หญิงยุคใหม่

10 พฤติกรรมเสี่ยงของผู้หญิงยุคใหม่



เอ่ยถึงสุขภาพและความสวยความงาม แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสาวๆ ทุกคน โดยเฉพาะการเอาใจใส่ดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการเลือกรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการพักผ่อนให้เพียงพอ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับสาวเฮลท์ตี้ทุกคน แต่ทราบหรือไม่ว่านอกจากนี้แล้ว การให้ความสำคัญกับการดูแลโครงสร้างร่างกายให้สมดุล ซึ่งหลายๆ คนอาจมองข้ามและละเลย ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีและมีโครงสร้างร่างกายที่แข็งแรงสวยงามเช่นกัน

แต่พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ดำเนินชีวิตของสาวๆในยุคปัจจุบัน ล้วนเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปวดกล้ามเนื้อ ปวดคอ ปวดหลัง โดยเฉพาะสาวออฟฟิศอย่างเรา ๆ ที่มักจะนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ หรือการอยู่ในอิริยาบถเดิม ๆ เป็นเวลานาน

ดร.มนต์ทณัฐ โรจนาศรีรัตน์ ไคโรแพรคติกแพทย์ กล่าวว่า ความผิดปกติของโครงสร้างร่างกายส่วนใหญ่มักเกิดจากการมี “พฤติกรรม” ของการใช้ร่างกายอย่างไม่เหมาะสม โดยเฉพาะระบบข้อต่อ การมีอิริยาบถในชีวิตประจำวันที่ผิดท่าทาง และเกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนทำให้เกิดการเกร็งผิดปกติของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะส่งผลต่อกระดูกซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของร่างกาย และส่งผลเสียต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ตามมา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้การทำงานของโครงสร้างร่างกายเกิดความสมดุล จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การทำจิตใจให้เบิกบาน และการพักผ่อนให้เพียงพอ

สำหรับพฤติกรรมเดิมๆ ที่คุณผู้หญิงอาจทำด้วยความเคยชินเป็นประจำทุกวัน แต่กลับเป็นการทำร้ายโครงสร้างของร่างกายให้เสียสมดุลโดยที่คุณไม่รู้ตัว พฤติกรรมแรกที่เห็นได้อย่างชัดเจน ก็คือ

การใส่รองเท้าส้นสูง ซึ่งเป็นที่มาของอาการปวดบริเวณต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น เท้า ที่ต้องทำหน้าที่รักษาสมดุล ความลาดเอียงของรองเท้าส้นสูงที่มีมากเกินไปจะส่งผลต่อกระดูกที่ฝ่าเท้าอาจมีอาการปวดเมื่อยจนอักเสบ น่อง ลักษณะการเดินเขย่งเมื่อใส่รองเท้าส้นสูงจะทำให้กล้ามเนื้อน่องสั้นขึ้น บริเวณน่องเกิดความตึงตัว การไหลเวียนของเลือดเกิดการติดขัด ข้อเท้า การขยับข้อเท้าในขณะสวมรองเท้าส้นสูงอยู่นั้น หากทำผิดจังหวะก็อาจทำให้ข้อเท้าแพลงได้ เข่า ต้องรับน้ำหนักมากขึ้น อาจทำให้เกิดอาการปวด โรคกระดูก หรือข้อต่ออักเสบ หลัง การใส่ส้นสูงทำให้เดินเหมือนเขย่ง กล้ามเนื้อขาและลำตัวต้องทำงานมากขึ้น บริเวณหลังจะเกิดการแอ่นมาก ซึ่งจะนำมาสู่การปวดหลังนั่นเอง

ดังนั้นการใส่รองเท้าส้นสูงที่เหมาะสมและไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพเท้า จึงควรเป็นรองเท้าที่มีความสูงไม่เกิน 1 นิ้วครึ่ง งานนี้สาวๆ ที่นิยมใส่รองเท้าส้นสูงมากๆ คงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยด่วน ที่สำคัญอย่าลืมสลับการใส่รองเท้าส้นสูงของคุณกับรองเท้าส้นเตี้ยบ้าง เพื่อให้เท้า ขา เข่า และหลังคุณได้พักบ้าง จะสวยสูงสง่าแล้วก็ต้องไม่ลืมเรื่องสุขภาพด้วย

ส่วนคุณผู้หญิงที่ชอบพกพาของจุกจิกทุกสิ่งทุกอย่างไปด้วยทุกที่ทุกเวลา ก็จัดเป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมเสี่ยงเช่นกัน เพราะด้วยความเคยชินที่ต้อง สะพายกระเป๋าหนักๆ ใบนั้น ด้วยไหล่ข้างเดียวนานๆ ทำให้ร่างกายของคุณต้องทำงานหนักเพียงซีกเดียว ซึ่งจะส่งผลให้กระดูกคดได้ ดังนั้นคุณจึงควรหันมาใส่ใจในเรื่องนี้ให้มากขึ้น โดยการนำของที่ไม่จำเป็นออกจากกระเป๋าไปเสียบ้าง และพยายามสลับข้างสะพายบ้าง หรือเปลี่ยนมาใช้วิธีถือแทนการสะพาย เพื่อให้ร่างกายทั้งสองข้างมีความสมดุล

ส่วนข้อนี้สาวนักช้อปคงต้องระวังให้ดี นั่นคือ การหิ้วของหนักๆ ด้วยนิ้วเพียงบางนิ้ว เนื่องจากการใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อยๆ จะทำให้เกิดพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ เพราะกล้ามเนื้อมือและนิ้วเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็กมีหน้าที่ในการใช้หยิบจับของเบาๆ หากต้องใช้จับหรือหิ้วของหนักๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการเสียดสีและเกิดพังผืดขึ้นในที่สุด และการหิ้วของหนักมากๆ จะทำให้กล้ามเนื้อมัดอื่นๆ ถูกรั้ง และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ ซึ่งจะมีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้ นอกจากนี้คุณผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านก็ควรหลีกเลี่ยงการบิดผ้าซ้ำๆ อย่างรุนแรง เพราะเสี่ยงต่อการที่ปลอกหุ้มเอ็น และเข็มขัดรัดเส้นเอ็นที่นิ้วมืออักเสบ

พฤติกรรมต่อมาของคุณผู้หญิงก็คือ นั่งไขว่ห้าง อาจเป็นเพราะความสบายหรือด้วยท่วงท่าที่ดูสง่าและสวยงามในขณะนั่ง จึงเป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่สาวๆ นิยมทำกันมาก แต่ทราบหรือไม่ว่าว่าการนั่งไขว่ห้างเป็นการทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้กระดูกของบริเวณนั้นคดหรือผิดรูป

การนั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้น สาวๆที่มักพยายามสงวนท่าทีในการนั่งให้ดูดี หรือเพราะความเคยชินในการการนั่งเก้าอี้แบบไม่เต็มก้น ทราบหรือไม่ว่าคุณกำลังทำให้กล้ามเนื้อหลังของคุณต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบเกินไป แต่ในทางตรงข้าม ถ้านั่งเก้าอี้ให้เต็มก้น โดยการเลื่อนก้นให้เข้าไปถึงด้านในสุดจนติดพนักพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยลง และเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่นั่นเอง

การนั่งหลังงอห่อไหล่ โดยเฉพาะสาวๆ ที่นั่งทำงานในออฟฟิศซึ่งต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานนานๆ และหลายคนมักจะโน้มตัวไปจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ กระดูกและกล้ามเนื้อของไหล่ หลัง และคอก็จะค่อยๆ พัฒนาตัวเอง คือ กระดูกหลังจะงอ กระดูกไหล่จะห่อเข้า กระดูกคอจะยื่นไปข้างหน้าแบบถาวร เพื่อให้รองรับกับการใช้งานที่เราต้องการได้อย่างสะดวก และเป็นที่มาของโรคข้อกระดูกเสื่อม

การนั่งกอดอก สาวๆ ที่ชอบนั่งกอดอกเป็นเวลานานๆ ทราบหรือไม่ว่าคุณกำลังทำให้หลังช่วงสะบักและหัวไหล่ถูกยืดออก หลังช่วงบนจะค่อมและงุ้มไปด้านหน้าทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า ซึ่งมีผลต่อเส้นประสาทที่ไปหล่อเลี้ยงแขน ซึ่งอาจทำให้มืออ่อนแรง หรือมีอาการชาได้ นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองด้วย เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูปไปก็จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง การไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงสมองจึงถูกจำกัด ซึ่งจะนำไปสู่อาการปวดศรีษะ หรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้

การยืนหลังแอ่น หรือยืนหลังค่อมจะทำให้แนวกระดูกช่วงล่างแอ่นและทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา การยืนที่ถูกต้อง คือต้องยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย รวมไปถึงขณะเดินและนั่งก็ควรแขม่วท้องเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่น และทำให้ไม่ปวดหลัง

ยืนพักขาเป็นการยืนโดยทิ้งน้ำหนักตัวลงไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว ทำให้กล้ามเนื้อขาข้างนั้นๆ ต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินไป และทำให้กระดูกเชิงกรานบิดเบี้ยว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคด การยืนที่ถูกต้องคือต้องลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกายกล้ามเนื้อขาทั้งสองข้างจะไดรับน้ำหนักเท่าๆ กัน

และสำหรับพฤติกรรมสุดท้ายในวันนี้ก็คือ พฤติกรรมการนอน โดยการนอนขดตัว หรือ นอนตะแคง จะทำให้กระดูกสันหลังไม่อยู่ในแนวตรง ซึ่งท่านอนที่ถูกต้อง ก็คือ ท่านอนหงาย โดยให้หน้าขนานกับเพดาน ไม่หงายไปด้านหลัง หรือ งอมาด้านหน้ามากเกินไป หมอนหนุนศรีษะก็ต้องไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างมาก่าย โดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้างเพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

จากพฤติกรรมทั้ง 10 ข้อที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากๆ และส่วนใหญ่มักจะเกิดกับผู้หญิงที่ดำเนินชีวิตด้วยการมีพฤติกรรมเดิมๆ ซ้ำๆ เป็นเวลานาน จนโครงสร้างร่างกายไม่สมดุล เพราะมีร่างกายส่วนหนึ่งที่ต้องทำงานหนัก ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งไม่ได้ทำงานเลยนั่นเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มักจะส่งผลเป็นอาการปวด และหากเพิกเฉย โดยที่ไม่มีการดูแลรักษา อาการปวดในส่วนนั้นจะพัฒนามากขึ้นจนยากที่จะแก้ไข


ที่มา
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000041187

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กำจัดพุงซะ ด้วยเทคนิคเด็ดเหล่านี้

สาว ๆ ที่มีปัญหาไขมันหน้าท้องสะสมมากจนกลายเป็นพุงน้อย ๆ ชวนรำคาญใจ เทคนิคต่อไปนี้ จะช่วยกำจัดไขมันรอบเอวของคุณออกไปได้ค่ะ

1.ออกไปวิ่งซะ!

เพราะการออกกำลังกายคือวิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุด ในการกำจัดไขมันบริเวณหน้าท้องที่เราไม่ต้องการออกไป ลองออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ไม่ว่าจะเป็นการจ้อกกิ้ง วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือเล่นกีฬาที่ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงทุก ๆ วัน หรือสัปดาห์ละ 5 วัน เพื่อให้หัวใจได้สูบฉีดเลือด และเหงื่อออก เกิดการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน

2.เปลี่ยนไลฟ์สไตล์เสียใหม่

หากชีวิตประจำวันของคุณไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวเท่าไหร่นัก จะทำให้ระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานช้าลง เช่นนั้นแล้ว แม้ว่าคุณจะเป็นคนทานน้อย แต่แคลอรีส่วนเกินก็ไม่ได้ถูกกำจัดออกไปอยู่ดี จึงทำให้คุณอ้วนได้

ดังนั้นจงเปลี่ยนตัวเองให้ได้เคลื่อนไหวมากขึ้น เช่นการทำงานบ้าน หรือถ้างานของคุณจำเป็นต้องนั่งบนเก้าอี้ตลอดทั้งวัน ก็ควรหาโอกาสลุกเดินทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง หรืออาจจะเดินขึ้นบันไดก็ได้ จำไว้ว่า พยายามเคลื่อนไหวให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

3.ดื่มน้อย ๆ หน่อย

แอลกอฮอล์คือศัตรูตัวร้ายของความพยายามในการลดน้ำหนักเลยทีเดียว หากคุณดื่มทุก ๆ วัน ไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียต่อตับ แอลกอฮอล์ยังจะไปเพิ่มไขมันฝากไว้ในช่องท้องของคุณด้วย แน่นอน คุณสามารถจะดื่มได้บ้างเป็นบางโอกาส แต่อย่าให้แอลกอฮอล์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตเชียวล่ะ

4.บริหารกล้ามเนื้อให้หุ่นฟิต

ถึงแม้ว่าการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ จะเป็นวิธีเดียวที่ช่วยกำจัดไขมันรอบเอวให้คุณได้ แต่คุณก็จำเป็นต้องสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้น ด้วยการออกกำลังกายแบบ Toning Exercise เช่น การออกกำลังกายด้วยท่าครันช์ ยกดัมบ์เบล และการซิทอัพ ซึ่งแม้มันจะไม่ช่วยกำจัดไขมันรอบเอว แต่เพื่อให้ร่างกายของคุณกระชับ และดูมีสุขภาพดี ลองออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ คุณจะเห็นถึงความแตกต่าง

ที่มา
กะปุกดอทคอม

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

วิจัยเผย..ผู้หญิงหวังแต่งงานกับผู้ชายฐานะดี-การศึกษาสูง

วิจัยเผย..ผู้หญิงหวังแต่งงานกับผู้ชายฐานะดี-การศึกษาสูง



ผลวิจัยใหม่ชี้ เหตุที่ผู้หญิงไม่ค่อยรับตำแหน่งหน้าที่การงานสูง ๆ นั้น ส่วนหนึ่งเพราะพวกเธอไม่ต้องการลงสนามไปแข่งกับเหล่าผู้ชายเองต่างหาก ขณะที่ความต้องการส่วนลึกในจิตใจของผู้หญิง แท้จริงแล้วอาจเป็นการแต่งงานกับผู้ชายที่มีรายได้ และการศึกษาสูงกว่าพวกเธอ ไม่ใช่การมีโอกาสก้าวหน้าทางการงานเท่าเทียมผู้ชายเหมือนที่กลุ่มสิทธิสตรีกำลังเรียกร้อง

ดร.แคทเธอรีน ฮาคิม นักวิจัยเจ้าเก่าที่คุ้นชื่อกันดีจากงานวิจัยเกี่ยวกับครอบครัว - สตรีหลายชิ้นแห่ง London School of Economics เจ้าของงานวิจัยเปิดเผยว่า แนวคิดที่ว่าผู้หญิงส่วนมากต้องการโอกาสก้าวหน้าทางการงานเพื่อให้ตนเองมีอิสรภาพทางการเงินนั้นเป็นเรื่องไม่จริง ตรงกันข้าม พวกเธอต้องการมีชีวิตครอบครัว และได้แต่งงานกับผู้ชายที่มีการศึกษาดี ๆ และมีรายได้สูงกว่าตนเอง พร้อมกันนั้น นักวิจัยท่านนี้ยังให้ความเห็นว่า เหตุที่ผู้ชายมักครอบครองตำแหน่งดี ๆ ในองค์กรเอาไว้ได้นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ลึก ๆ แล้วผู้หญิงไม่ต้องการเข้าร่วมแข่งขันในสนามนั้น ๆ เองต่างหาก

งานวิจัยชิ้นนี้ได้อ้างอิงข้อมูลของชาวอังกฤษและสเปนในปี 1949 ที่ระบุว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิง แต่งงานกับสามีที่มีการศึกษาดีกว่าพวกเธอ แต่มาในยุค 90 พบว่า เปอร์เซ็นต์ที่ผู้หญิงตัดสินใจแต่งงานด้วยเหตุผลดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 38 เปอร์เซ็นต์ และยังพบว่าในประเทศอื่น ๆ ของยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียก็พบตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

"การได้แต่งงานกับผู้ชายที่มีการศึกษาดี และมีรายได้สูงกว่า เป็นเสมือนทางลัดที่พวกเธอใช้เสริมความมั่นคงให้กับตนเองมากขึ้น"

รายงานวิจัยชิ้นนี้ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า บทบาทที่เท่าเทียมกันในครอบครัวระหว่างสามีภรรยาที่แบ่งหน้าที่เท่า ๆ กัน ทั้งดูแลลูก ทำงาน และทำงานบ้านนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ทุกครอบครัวเห็นพ้อง ดังเช่นที่กลุ่มสตรีนิยมกล่าวอ้าง

"เมื่อภรรยาส่วนมากมีรายได้น้อยกว่าสามี คู่สามีภรรยาจึงมักตัดสินใจร่วมกันให้ภรรยารับบทบาทดูแลงานบ้านส่วนใหญ่" อย่างไรก็ดี รายงานของดร.ท่านนี้ยังระบุด้วยว่า ภรรยาส่วนมากมักไม่ยอมรับออกมาตรง ๆ ว่า ตนเองนั้นพร้อมจะเป็นแม่บ้าน

จากรายงานชิ้นนี้ อาจทำให้กลุ่มผู้หญิงแถวหน้าในบ้านเราอ่านแล้วรู้สึกไม่เห็นด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อดีของการเกิดเป็นผู้หญิงในยุคนี้ตามที่เจ้าของงานวิจัยก็คือ การมองว่าผู้หญิงในปัจจุบันมีทางเลือกมากกว่าผู้ชาย โดยพวกเธอสามารถเลือกได้ว่าจะหันมาให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นหลักหรือทำงานประจำ ขณะที่ผู้ชายกลับไม่มีทางเลือกมากนัก

สาวไทยใจแกร่งอ่านแล้วอย่าเพิ่งโกรธหัวข้องานวิจัย ตรงกันข้าม หากมีความเห็นอย่างไรกับการวิจัยในหัวข้อดังกล่าว ขอเชิญร่วมแลกเปลี่ยน - แบ่งปันประสบการณ์กับผู้อ่านและทีมงานบ้าง ก็จะเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อยค่ะ

เรียบเรียงจากเดลิเมล

ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000000552

กิน ยาทราซามิน ฟอกผิวขาวอาจเป็นอัมพฤกษ์ได้

เตือน! กิน ยาทราซามิน ฟอกผิวขาวอาจเป็นอัมพฤกษ์ได้



แฟชั่นผิวขาวกระจ่างใสราวหยวกกล้วย ยังคงอินเทรนด์ในหมู่สาว ๆ ซึ่งปัจจุบันหันมารับประทาน ยาทรานซามิน (Tranzamin) หรือ ยาทราเนซามิค แอซิด (Tranexamic acid) เพื่อฟอกผิวให้ขาว ทดแทน ยากลูต้าไทโอน (Glutathione) ที่ถูกควบคุมการใช้จากกระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งยังมีราคาแพง ในขณะที่ ยาทรานซามิน จะมีราคาถูก เห็นผลเร็วกว่า และหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไปนั้น

ล่าสุดนายแพทย์พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ออกมาระบุว่า ยาทราเนซามิค แอซิด ข้อบ่งใช้เพื่อรักษาในผู้ป่วยเลือดออกง่าย ใช้ในการเตรียมผ่าตัดในกรณีที่คนไข้มีแนวโน้มเลือดออกง่าย ไม่มีข้อบ่งใช้ในเรื่องผิวขาวหรือรักษาฝ้า โดยอนุญาตให้นำมาผสมในเครื่องสำอางไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ สำหรับให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนัง ทำให้ผิวหนังกระจ่างใส แต่ไม่ได้ทำให้ผิวขาว อีกทั้งหากผสมเกินที่กำหนดจะถือเป็นเครื่องสำอางปลอม มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ขณะที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกโรงเตือนกลุ่มวัยรุ่นหันมานิยมใช้ ยาทรานซามิน โดยระบุว่า ยาทรานซามิน เป็นยาอันตรายที่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ และขายโดยเภสัชกรในร้านขายยาเท่านั้น เนื่องจากใช้ในการห้ามเลือดเป็นหลัก อาจมีผลข้างเคียงทำให้เม็ดสีลดความเข้มลงได้บ้าง ที่สำคัญหากรับประทานอย่างต่อเนื่องจะมีอาการข้างเคียง เช่น วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ที่สำคัญคืออาจทำให้เกิดลิ่มเลือด ซึ่งมีผลทำให้เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต หรือไตวายเฉียบพลันได้

รายละเอียดยา Transamin ทรานซามิน

ชื่อสามัญ : Tranexamic acid

ชื่อการค้า : Transamin (capsules) ทรานซามิน แคปซูล

รูปแบบยา : แคปซูล

ยานี้ใช้สำหรับ

•ยานี้ใช้เพื่อป้องกันภาวะเลือดออกอย่างรุนแรง
•ยานี้ใช้เพื่อป้องกันภาวะเลือดไหลไม่หยุดในช่วงการถอนฟัน ในผู้ป่วยฮีโมฟีเลีย
•ยานี้ใช้เพื่อรักษาผู้ป่วยโรค Hereditary angioneurotic edema

วิธีใช้ยา :

•ยานี้อยู่ในรูปแบบยาเม็ด ใช้สำหรับรับประทาน โดยรับประทานยานี้ตามที่แพทย์ระบุหรือใช้ยานี้ตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด โดยห้ามใช้ยาในขนาดที่มากหรือน้อยกว่าที่ระบุ และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร

สิ่งที่ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ :

•การแพ้ยาทรานิซามิค เอซิด (tranexamic acid) หรือแพ้ยาอื่นๆ
•ยาอื่นๆ ทั้งยาที่แพทย์สั่งจ่ายและยาที่ใช้เอง วิตามิน อาหารเสริม และยาสมุนไพร ที่ท่านใช้อยู่ในขณะนี้หรือกำลังจะใช้
•เคยมีประวัติโรค Thromboembolic หรือ ภาวะมีลิ่มเลือด
•มีหรือเคยมีภาวะประจำเดือนมาผิดปกติ
•มีหรือเคยมีโรคไต
•การตั้งครรภ์ การวางแผนในการตั้งครรภ์ หรือการให้นมบุตร
•หากต้องทำการผ่าตัดหรือทำการรักษาทางทันตกรรม แจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนว่าใช้ยานี้

ทำอย่างไรหากลืมรับประทานยาหรือใช้ยา :

•โดยทั่วไปถ้าลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าเป็นเวลาที่ใกล้กับมื้อต่อไป ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อต่อไปเลยโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า

อาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา :
1) อาการอันไม่พึงประสงค์ที่ต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที
•มีอาการแพ้ ผื่นคัน บวมตามหน้า ปาก ลิ้น เจ็บหน้าอก ระบบของร่างกายทำงานไม่สัมพันธ์กัน ( loss of co-ordination) พูดไม่รู้เรื่อง พูดไม่ชัด (slurred speech) เจ็บที่บริเวณต้นขา หรือขา
2) อาการอันไม่พึงประสงค์อื่นที่อาจเกิดระหว่างใช้ยา หากเป็นต่อเนื่อง หรือ รบกวนชีวิตประจำวัน ให้ แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ
•คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
การเก็บรักษายา :

•เก็บยานี้ในภาชนะบรรจุเดิมที่บรรจุมา ปิดภาชนะให้สนิท และเก็บให้พ้นมือเด็ก
•เก็บยานี้ที่อุณหภูมิห้องโดยไม่ให้อยู่ในที่ร้อนมากกว่า 30 องศาเซลเซียส เช่น บริเวณที่ถูกแสงแดดโดยตรง และไม่เก็บยาในบริเวณที่เปียกหรือชื้น
•ทิ้งยานี้เมื่อยาหมดอายุ


ที่มา
http://health.kapook.com/view20240.html
http://www.yaandyou.net/

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

เตือนภัย ! สาวๆที่ชอบต่อเล็บ




สาวๆ คนไหนชื่นชอบการต่อเล็บเป็นชีวิตจิตใจ ต้องอย่าลืมมองข้ามความปลอดภัย และพึงระวังภัยเงียบที่เกิดจากการต่อเล็บเป็นพิเศษ เอาเป็นว่าไปติดตามกันเลยดีกว่าว่าเจ้าภัยเงียบนี้คืออะไร...


ภัยเงียบที่อาจเกิดขึ้นได้จากการต่อเล็บนั้น เป็นอันตรายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง เนื่องจากการต่อเล็บนั้นปัจจัยที่สำคัญได้แก่ “กาว” ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้กาวที่ทำด้วยเมธิลเมธาครายเลต ซึ่งมีราคาถูก โดยจะมีลักษณะกลิ่นฉุน และเป็นพิษ อาจจะมีปฏิกิริยากับผิวหนังหรือทำให้เล็บเสียหายถาวรได้



อีกทั้งเมื่อกาวแห้งจะแข็งตัว และมักจะยึดติดกับเล็บจริงอย่างแน่นหนา จึงอาจทำให้เล็บฉีกได้เมื่อจะถอดออก บางครั้งเมื่อถอดเล็บปลอมไม่ออก ถึงกับต้องใช้ตะไบตัดออก ก็ยิ่งทำให้เล็บที่อยู่ข้างใต้เสียหายหนัก ซึ่งจะส่งผลถึงสุขภาพของเล็บได้ นอกจากนั้นกาว ซึ่งเป็นสารเคมีอาจถูกดูดซึมเข้าสู่เล็บ และอาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อราหรือสะสมเชื้อราภายใต้เล็บ



รู้แบบนี้แล้ว เห็นทีสาวๆ ที่รักสวยรักงาม และชื่นชอบการต่อเล็บต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของความปลอดภัยกันบ้างแล้วล่ะค่ะ...



ที่มา
http://variety.teenee.com/foodforbrain/28459.html

วิธีบรรเทาอาการปวดขาของสาวช็อปปิ้ง




ผู้หญิง กับการช็อปปิ้ง เป็นอะไรที่แยกออกจากกันไม่ได้จริงๆ จะเห็นได้ว่าคุณสาวๆ จะมีความสุขจนลืมทุกอย่างไปเลยเมื่อได้ช็อปปิ้ง ยิ่งช่วงที่มีการลดราคากระหน่ำ หรือมิดไนต์เซลตาม ห้างสรรพสินค้าต่างๆ จนอาจลืมไปว่าร่างกายของเราจะต้องแบกรับน้ำหนักจากข้าวของที่พะรุงพะรังมาก มายแค่ไหน จนเป็นเหตุให้สาวนักช็อปหลายคนเกิดอาการเจ็บปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกายตามมา


นายแพทย์เกรียงไกร เบญจวงศ์เสถียร ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า ปัญหาของสาวๆ ที่รักการช็อปปิ้งที่พบมากก็คือ


ปวดกล้ามเนื้อ เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ และ หลังทำงานหนัก เกิดการหดเกร็ง เนื่องจากต้องแบกหรือถือถุงหนักๆ


ปวดข้อมือ ชาตามปลายนิ้ว เนื่องจากการคล้องกระเป๋า หรือถุงต่างๆ บริเวณแขนและข้อมือ ทำให้เส้นประสาท ถูกกดทับ อาจเกิดอาการชาตามปลายนิ้วต่างๆ ได้ บางคนอาจปวดร้าวเหมือนถูกไฟชอร์ตวิ่งอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นมากอาจทำให้มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้ออุ้งมือได้


เอ็นอักเสบ โดยอาจเป็นที่เอ็นบริเวณข้อหัวไหล่ เอ็นบริเวณ ข้อศอก ปลอกหุ้มเอ็นบริเวณนิ้วอักเสบ และถ้าหิ้วถุงหนักมากๆ อาจทำให้ปลอกหุ้มเอ็นบริเวณนิ้วอักเสบ หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดพังผืด เกิดภาวะนิ้วล็อก (Trigger finger) แต่ถ้าใครรู้ตัวว่ายังไม่สามารถลด ละ เลิก การช็อปปิ้งได้ ก็ควรหาวิธีป้องกันอาการเจ็บปวดเหล่านี้ด้วยตัวเองง่ายๆ คือ


- หลีกเลี่ยงการใช้กระเป๋าใบใหญ่มาก เพราะจะยิ่งเผลอตัวใส่ของมากเกินไป น้ำหนักก็จะมากตามไปด้วย เปลี่ยนมาเป็นกระเป๋าขนาดที่เหมาะสมกับรูปร่างของตัวเองจะดีกว่า


- ใช้บริการฝากของหรือใช้รถเข็นของที่ห้างสรรพสินค้าก็เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ


- เลือกใส่รองเท้าสบายๆ ยามที่เดิน ช็อปปิ้ง


- บริหารข้อนิ้ว ข้อมือ ข้อศอก และไหล่ เพื่อป้องกันการเคล็ดหรือเอ็นอักเสบง่ายๆ เช่น ยืนชิดผนังแล้วใช้นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง ทาบและไต่ขึ้น – ลงบนผนัง 10 ครั้ง, หมุนข้อมือเป็นวงกลมซ้าย – ขวา 10 ครั้ง บริหารไหล่ หมุนแขนไปข้างหน้า – หลัง เป็นวงกลม ข้างละ 10 ครั้ง


- หากรู้สึกปวดกล้ามเนื้อมาก ใช้แผ่นประคบเย็นเพื่อลดอาการปวดบวมใน 1 – 2 วันแรก หลังจากนั้นใช้แผ่นประคบร้อนพร้อมยืดกล้ามเนื้อเบาๆ หรือจะใช้ยานวด หรือรับประทานยาแก้ปวดบรรเทาด้วยก็ได้ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ


ที่มา
http://variety.teenee.com/foodforbrain/30834.html

นอนผิดท่า ต้นเหตุใบหน้ามีริ้วรอย


หนุ่มสาวที่เคยประสบปัญหาการตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วพบว่า ใบหน้ามีรอยย่น หรือว่าร่องแก้มด้านหนึ่งมีรอยลึกมากกว่าอีกด้าน อย่ามองเป็นเรื่องปกติ หรือคิดว่า พอล้างหน้าล้างตาแล้วก็หายไป เพราะนี่คือต้นเหตุหนึ่งของการที่ใบหน้าเรามีรอยเหี่ยวย่น

ริ้วรอยที่เกิดขึ้นนี้ มีผลมาจากการนอนในท่าที่มีการกดทับติดต่อกันเป็นเวลานานหลายชั่วโมงที่เรียกว่า "สลีฟ ลายน์" จะพบได้มากในคนที่ชอบนอนคว่ำหรือนอนตะแคงจนเคยชิน บางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าลองสังเกตดีๆ รอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากการนอนนั้น จะกลายเป็นรอยเหี่ยวย่นถาวรบนใบหน้าของเราได้ในอนาคต

หากคุณเป็นคนหนึ่งซึ่งประสบปัญหานี้ให้ลองฝึกนอนหงายให้เคยชินดู เพราะการนอนหลับในท่านอนหงายจะดีที่สุดสำหรับผิวหน้าของเรา.



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วิธีทำให้ขาเรียว เล็ก สวย !




วันนี้เรามีวิธีทําให้ขาเรียว เล็ก สวย มาฝากกันค่ะ คุณผู้หญิงที่อยากจะให้ขาเรียว เล็ก สวย ต้องมาปฏิบัติ วิธีทําให้ขาเรียว เล็ก สวย ของเรากันเลยดีกว่าค่ะ เป็น วิธีทําให้ขาเรียว เล็ก สวย แบบง่าย ๆ เพียงแค่คุณนั้นสละเวลาเพียงแค่เล็กน้อยแล้วหันมาทำการออกกำลังด้วย วิธีทำให้ขาเรียว เล็ก สวย ที่เรากำลังจะบอกต่อไปนี้เท่านั้น เพียงแค่คุณตั้งใจรับรองว่า วิธีทำให้ขาเรียว เล็ก สวย นี้ช่วยคุณได้อย่างแน่นอนค่ะ ใครอยากมีขาเรียว เล็ก สวย ก็มาฝึกปฏิบัติกันเลยค่ะ

5 วิธีทำให้ขาเรียว เล็ก สวย

1. ท่าบริหารบั้นท้าย : เป้าหมายคือขาอ่อนส่วนหน้าและกำจัดบั้นท้ายหนาโดยออกกำลังกล้ามเนื้อที่ก้น

วิธีทำ : ยืนแยกขา งอเข่าเล็กน้อย หลังตรง มือเท้าสะเอว งอเข่าทำมุมเก้าสิบองศาแล้วเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยจนตัวค้อมลงมาหาขาอ่อน ส้นเท้าแนบพื้นลดตัวลงไปกระทั่งก้นอยู่ในระดับเดียวกับเข่า เกร็งไว้หนึ่งวินาทีจากนั้นค่อย ๆ หวนกลับมาท่ายืนทำซ้ำ 20 ครั้ง

2. ท่ายืดเส้นสายขาอ่อน : เป็นท่าทำยากแต่ถ้าอยากให้กล้ามเนื้อขาอ่อนหน้าขาและหลังขาแข็งแรงก็คุ้มค่าน่าทำ

วิธีทำ : ยืนตรงยื่นขาหนึ่งไปข้างหน้า ตัวตรง หน้าท้องแขม่ว งอเข่าลงทิ้งน้ำหนักที่ส้นเท้าเพื่อใช้งานกล้ามเนื้อสะโพก เกร็งไว้หนึ่งวินาทีแล้วค่อย ๆ กลับท่าเดิมทำซ้ำ 15 ครั้ง จากนั้นทำกับขาอีกข้าง 15 ครั้งเช่นกัน

3. ขาอ่อนปราดเปรียว : เป็นท่าที่เหมาะสำหรับออกกำลังขาอ่อนด้านใน

วิธีทำ : นอนตะแคงซ้าย งอเข่าขวาพาดพื้น ขาซ้ายตรง ค่อย ๆ ยกขาซ้ายขึ้น เกร็งไว้หนึ่งวินาทีแล้วยกลงทำซ้ำ 15 - 20 ครั้ง แล้วสลับกับขาอีกข้าง

4. ออกกำลังขาอ่อนส่วนนอก : ท่านี้เน้นที่ขาอ่อนด้านนอกเพื่อให้แข็งแรงได้รูป

วิธีทำ : นอนตะแคงข้าง งอเข่าขวาเล็กน้อย มือขวารองรับศรีษะไว้ ขาซ้ายเหยียดตรงแล้วค่อย ๆ ยกขึ้น เกร็งไว้หนึ่งวินาทีแล้วลดลงทำซ้ำ 15 - 20 ครั้ง จากนั้นสลับทำกับอีกข้าง

5. ขาอ่อนเรียว : เตรียมตัวให้ดีสำหรับท่านี้ซึ่งจะออกกำลังขาอ่อนด้านในและนอกสุด ๆ

วิธีทำ : ยืนตรงแยกขา มือเท้าสะเอว ย่อเข่าขวาลงแล้วก้าวเท้าออกมาข้างหน้ากระทั่งขาอ่อนขวาขนานกับพื้น อย่าให้เข่ายื่นเลยข้อเท้าขวา ค่อย ๆ รั้งเท้าซ้ายกลับกดแนบพื้นเพื่อสร้างแรงต้านกระทั่งเท้ามาคู่กันและกลับสู่ท่าเดิม ทำซ้ำกับขาซ้าย ทำข้างละ 15 - 20 ครั้ง

หมายเหตุ : ให้ทำวันละสองครั้ง (เช้าและเย็น)

ไม่ยากเลยใช่ไหมคะเพียงแค่คุณเจียดเวลาให้กับการออกกำลังกายบ้าง ไม่ใช่เพื่อแค่ขาเรียวเล็กที่สวยงามอย่างเดียว แต่ยังได้ในเรื่องของสุขภาพที่แข็งแรงอีกด้วยค่ะ