วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

9 เทคนิค ปลอดภัยในลานจอดรถ

คุณผู้หญิงควรอ่าน

9 เทคนิค ปลอดภัยในลานจอดรถ



เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาหลายคนคงได้ยินข่าวสลดใจขึ้นในกรุงเทพฯ กับข่าวคนร้ายขับรถชนและไล่ยิงตำรวจ รวมไปถึงการจี้ตัวประกันหญิงสาวจนนำไปสู่การวิสามัญฆาตกรรม ซึ่งในขณะนี้หลายภาคส่วนก็ได้เข้าเยียวยาผู้ที่ได้รับความเสียหายทั้งจิตใจ ทรัพย์ และชีวิตกันแล้ว... เราก็ขอเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งกำลังใจให้

การจะป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ให้เกิดขึ้นอีกนั้นดูจะเป็นเรื่องยาก เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ กับใคร ซึ่งอาจจะเป็นตัวเราเองก็ได้ ดังนั้น วันนี้เราเลยมีวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นสำหรับสาว ๆ ที่ต้องขึ้นรถ ขับรถคนเดียว รวมไปถึงคุณผู้ชายบางคนด้วย

1. มองให้รอบด้าน : จริงอยู่ว่าเราอาจจะจอดรถที่เดิมทุกวันและมั่นใจว่าปลอดภัย แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันที่ภัยอาจจะมาถึงตัวได้ทุกขณะ ดังนั้นเมื่อจะเดินมาบริเวณที่จอดรถควรจะมองซ้าย ขวา หน้า หลัง เพื่อสำรวจว่าอาจจะมีใครหรืออะไรซุ่มอยู่หรือไม่เพื่อความปลอดภัยเบื้องต้นค่ะ

2. เมื่อขึ้นรถได้แล้วควรปิดประตูและล็อกรถทันที : จากการสำรวจพบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่เมื่อเปิดประตูขึ้นไปนั่งแล้วมักจะเปิด ประตูรถค้างไว้เพื่อวางของ เอื้อมหยิบของ หรือแม้แต่แต่งหน้า การกระทำเช่นนี้ค่อนข้างเสี่ยงสำหรับใครที่จอดรถไว้ในที่เปลี่ยว หรือแม้แต่อาจจะมีคนร้ายดูลาดเลาและรับรู้พฤติกรรมนี้จนเป็นช่องทางในการบุก เข้าจี้และทำร้ายได้ค่ะ

3. อย่าห่วงสวย : อย่างที่บอกว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนเมื่อขึ้นรถได้ก็จะจัดแจงแต่งหน้าทำผมตัวเองเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะส่องกระจก ทาลิปสติก ปัดขนตา ซึ่งอาจจะมองว่าเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ใช้เวลาไม่นาน แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขที่เราเผลอนี่แหละค่ะที่จะเปิดโอกาสให้คนร้ายเข้ามา ประชิดได้ถึงรถแบบไม่รู้ตัวเช่นกัน

4. กระจกมองข้างและมองหลังนั้นสำคัญ : กระจกทั้งสองแบบนี้จะเป็นผู้ช่วยเราได้ดีไม่เพียงแต่เฉพาะเวลาขับรถเท่านั้น ค่ะ ในเวลาที่ขึ้นรถในลานจอดรถ หรือในที่ต่าง ๆ กระจกเหล่านี้จะเป็นหูเป็นตาได้ด้วย ซึ่งเราอาจจะต้องคอยมองอยู่เสมอว่าในขณะที่ขึ้นไปนั่งบนรถแล้วนั้นมีใครหรือ อะไรกำลังตามเรามาทางด้านข้างหรือด้านหลังหรือไม่ จะได้เตรียมหลบหนีได้ทันหากเห็นความผิดปกติ

5. คุยโทรศัพท์ขณะขึ้นรถ : สถิติในต่างประเทศรายงานว่าเกิดเหตุการณ์ปล้นจี้ขณะที่เจ้าของรถกำลังใช้ โทรศัพท์มือถือในระหว่างการเดินไปที่รถ เปิดประตูรถเยอะมาก เพราะเป็นช่วงที่มักจะขาดสมาธิและความใส่ใจในการมองซ้ายขวา รวมถึงทำให้กิจกรรมต่าง ๆ ช้าลง เช่น เก็บของ หรือการเปิดปิดรถช้าลง จึงทำให้คนร้ายบุกเข้าถึงตัวได้ง่ายขึ้น

6. เดินให้ไว : อย่ามัวแต่เดินเอ้อระเหย หรือย่ามใจว่าเป็นลานจอดรถในตึกออฟฟิศตัวเองแล้วจะปลอดภัยนะคะ เมื่อมาถึงลานจอดรถแล้วให้รีบเดินขึ้นรถทันที เพราะหากเดินช้าหรือหยุดยืนทำธุระ โดยเฉพาะบริเวณจุดอับที่ค่อนข้างมืดหรือไม่มีคนผ่านไปมามากนักก็อาจจะเสี่ยง กับการปล้นจี้ได้

7. เตรียมของให้พร้อม : หลายคนชอบไปยืนหากุญแจรถอยู่ข้างรถตัวเอง ยิ่งใครที่กระเป๋าใบใหญ่ กระเป๋ารกๆ ด้วยแล้วล่ะก็ หากันนานเลย ทางที่ดีก่อนลงมาถึงลานจอดรถหรือก่อนถึงรถควรจะถือกุญแจอยู่ในมือไว้ให้ พร้อมเลยค่ะ เมื่อถึงจะได้ขึ้นรถได้ทันที

8. รีบสตาร์ท รีบออกตัว : หลายคนเมื่อขึ้นรถ ล็อกรถแล้วคิดว่าตัวเองจะปลอดภัยก็เลยนั่งหาของ จัดของในรถ หรือกดโทรศัพท์มือถือ พฤติกรรมนี้ควรเลิกได้แล้วค่ะ เมื่อขึ้นรถอย่างปลอดภัยแล้ว ให้รีบสตาร์ทรถและออกมาจากลานจอดรถหรือบริเวณที่เป็นจุดเสี่ยงทันที เพราะยิ่งเรานั่งอยู่นาน คนร้ายก็อาจจะเข้ามาหาเราได้ทุกเมื่อเช่นกัน

9. เพื่อนคู่ใจ : ถ้าบังเอิญลานจอดรถหรือที่ที่เราจอดรถนั่นเปลี่ยว หรือเกิดความไม่มั่นใจให้หาเพื่อนเดินไปด้วยกันค่ะ อาจจะเป็นคนที่ต้องไปเอารถที่เดียวกัน หรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริเวณลานจอดรถนั่นเอง เพราะอย่างน้อยๆ ถ้ามีเพื่อนไปด้วยก็อุ่นใจ หรือคนร้ายอาจจะไม่กล้าเข้ามาทำร้ายค่ะ

ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้กันนะคะ ทั้งคุณสาว ๆ และหนุ่ม ๆ ที่ต้องขับรถคนเดียว เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองและลดปัญหาอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ที่มา

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

เมนูเพื่อสุขภาพคุณสาว ๆ สำหรับหน้าร้อนนี้

เมนูเพื่อสุขภาพคุณสาว ๆ สำหรับหน้าร้อนนี้

ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ควรจะรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และที่สำคัญคุณคงไม่อยากมีไขมันส่วนเกินเพิ่มขึ้นมาด้วยหรอกนะ จริงมั้ย?? เพื่อที่จะแน่ใจว่าคุณผู้หญิงจะยังคงสามารถรักษาหุ่นในช่วงหน้าร้อนได้อยู่ วันนี้เราจึงมีเมนูสำหรับเติมความสดชื่นมาฝากค่ะ...

1.แตงโม

แน่นอนล่ะ เวลาถึงหน้าร้อนทีไร ผลไม้ที่เรานึกถึงอย่างแรกก็คือแตงโม ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน และรสชาติหวานฉ่ำ ลองดูสักชิ้น รับรองว่าคุณจะรู้สึกสดชื่นแน่


2.กล้วย

ในวันที่อากาศร้อนจัด ๆ ลองหั่นกล้วยชิ้นเล็ก ๆ แล้วเอาไปแช่ในน้ำในช่องใส่น้ำแข็งดูสิ คุณจะรับรู้ถึงรสชาติหวานเย็น กรุบกรอบ และอร่อยด้วย เมนูนี้จึงถือได้ว่าเป็นไอศกรีมอีกทางเลือกหนึ่งที่สำคัญสำหรับสาว ๆ เพราะมันอุดมไปด้วยโพแทสเซียมและสารอาหารอย่างมากมาย


3.แครอทอ่อน

นี่เป็นเมนูที่สำคัญในช่วงระหว่างมื้ออาหาร ลองรับประทานแครอทอ่อนหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ดู แล้วคุณจะติดใจจนวางไม่ลงเลยล่ะ

4.น้ำผลไม้ปั่น

น้ำผลไม้ปั่นเป็นของฮิตอีกอย่างหนึ่งในช่วงหน้าร้อน เพียงแค่คุณใส่น้ำแข็งป่น โยเกิร์ตรสธรรมชาติ เบอร์รี่แช่เย็น และกล้วยอีกสักชิ้น ปั่น 30 วินาที แล้วคุณจะได้น้ำผลไม้ปั่นเย็นชื่นใจที่มีวิตามินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และทำให้สดชื่นอีกด้วย

5.ธัญพืช โยเกิร์ต และผลไม้สด

อาหารเช้าเพื่อสุขภาพพร้อมกับความอร่อยสำหรับหน้าร้อนนี้ เลิกคิดถึงเบคอนหรือขนมวาฟเฟิลไปได้เลย ลองหันมากินของที่มีคาร์โบไฮเดรต วิตามิน และโพรไบโอติค อย่างเช่นเมนูนี้ คุณจะได้รับพลังงานมาก และพร้อมสำหรับออกไปรับวันใหม่

6.โยเกิร์ตรสธรรมชาติผสมน้ำผึ้ง

เมนูง่าย ๆ พื้น ๆ และไขมันต่ำ แต่ให้พลังงานสูงสำหรับต่อสู้กับอากาศร้อน ๆ ในยามบ่าย ดีกว่าที่คุณจะเคี้ยวหมากฝรั่งหรือช็อคโกแลตอีกนะ

7.ป๊อปคอร์น

แทนที่จะกินของทอดมัน ๆ ลองเปลี่ยนมาเป็นป๊อปคอร์นแบบเค็มนิด ๆ และหลีกเลี่ยงแบบที่ใส่เนยด้วยล่ะ

8.สลัด

สลัดเป็นเมนูที่สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ใส่ผักอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ นอกจากอร่อย สะดวกและไม่ทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มอย่างแน่นอน

เมนูเพื่อสุขภาพสำหรับหน้าร้อนนี้ ซึ่งนอกจากความอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย และสามารถรักษาหุ่นของคุณผู้หญิงให้ผอมเพรียวอีกด้วย



ที่มา
http://health.kapook.com/view25003.html

เปลี่ยนลุครับหน้าร้อน ด้วยทรงผมสั้นเก๋ ๆ

อากาศหนาว ๆ เย็น ๆ ไม่ทันไร เผลอแป๊บเดียวก็เข้าหน้าร้อนซะแล้ว สำหรับสาว ๆ ที่กำลังอยากเปลี่ยนลุคด้วยการเปลี่ยน ทรงผม เก๋ ๆ ให้เข้ากับหน้าร้อน วันนี้เรามี แบบทรงผมสั้น สวย ๆ เท่ ๆ เก๋ ๆ มาฝากหลากแบบหลายสไตล์ เหมาะสำหรับสาวขี้เบื่อที่ต้องการแปลงโฉมตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ (อากาศร้อน ๆ)

อย่างว่า... ไว้ผมยาวมาก็นาน ตัดผมสั้นซะบ้างก็คงดีไม่หยอก โดยเฉพาะการตัดผมสั้นในหน้าร้อน จะช่วยเพิ่มลุคของคุณให้ดูร้อนแรงเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด (โดนใจหนุ่ม ๆ) เพราะเสื้อผ้าแฟชั่นหน้าร้อนนั้นดูเข้ากันดีกับ ทรงผมสั้น เป็นที่ซู้ดดดด...

เอาเป็นว่า... เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดู แบบทรงผมสั้น กันเลยดีกว่า ชอบแบบไหน ถูกใจแบบใด ก็เลือกไปเป็นแบบให้ช่างตัดผมประจำตัว ตัด ซอย เซ็ท กันได้เลย...

ดูรูปทรงผมได้ที่นี่..


ที่มา
กะปุก

สิวขึ้นรอบริมฝีปากจัดการกับมันอย่างไร

สิวขึ้นรอบริมฝีปากจัดการกับมันอย่างไร (ลิซ่า)

มีสิวขึ้นรอบริมฝีปากอยู่เรื่อยเลย เป็นเพราะอะไรกันแน่ และมีวิธีไหนที่จะจัดการกับมันได้บ้าง?

สิ่งที่อาจเป็นไปได้ก็คือ ลิปกลอสของคุณอาจเป็นต้นตอของปัญหาสิวรอบปาก เนื่องจากมันสามารถอุดตันรูขุมขนบนผิวรอบริมฝีปากได้ พยายามใช้ลิปกลอสสีอ่อนใส เนื่องจากมีเม็ดสีน้อยกว่า จึงมีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขนน้อยกว่าด้วย

และลองมองหาแบบที่มีส่วนผสมหลักที่ระคายเคืองต่อผิวน้อยกว่า อย่างเช่นแพนธีนอลหรือน้ำมันมะกอก แต่ถ้าการเปลี่ยนลิปกลอสไม่ช่วยให้ดีขึ้น สาเหตุอาจมาจากอย่างอื่น อย่างเช่นการใช้โทรศัพท์ที่สกปรก หรือน้ำมันจากอาหารมัน ๆ ที่ตกค้างอยู่รอบริมฝีปาก พยายามหลีกเลี่ยงต้นเหตุดังกล่าว และขจัดสิวด้วยการทาโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกรอบ ๆ ขอบปาก ทุกครั้งที่ล้างหน้า




ที่มา
http://women.kapook.com/view24468.html

เผยผิวหน้าใสไร้สิวเสี้ยน ด้วยไข่ขาวกับมะนาว

เผยผิวหน้าใสไร้สิวเสี้ยน ด้วยไข่ขาวกับมะนาว (Lisa)

สิวเสี้ยน เป็นเหมือนขยะหรือเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งยังตกค้างอยู่ในรูขุมขน มักเกาะกลุ่มอยู่ตรงส่วนที่มีความมันเช่นหน้าผาก จมูก และคาง เรามีวิธีง่าย ๆ ในการกำจัดสิวเสี้ยนที่คุณสามารถทำได้เองที่บ้าน ด้วยวัตถุดิบพื้นฐานง่าย ๆ จากในครัวอย่างไข่ขาวและมะนาวมาฝาก

อุปกรณ์และส่วนผสม

- โฟมสครับผิว
- ไข่ขาว
- มะนาว
- กระดาษเช็ดปาก


Step 1
ใช้โฟมหรือสบู่เหลวล้างหน้าทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด จากนั้น ใช้โฟมสครับผิวขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างในรูขุมขนอีกที ขัดผิววนเป็นวงกลม แล้วล้างออกให้สะอาด

Step 2
เทน้ำร้อนจัดลงในหม้อหรือชามใบใหญ่ หรืออาจเปิดน้ำร้อนในอ่างล้างหน้า ก้มหน้าลงเพื่อให้ไอน้ำร้อนช่วยเปิดรูขุมขน เพื่อให้การมาส์กได้ผลดียิ่งขึ้น

Step 3
ผสมน้ำมะนาว 1/4 ถ้วย กับไข่ขาวล้วน 2 ฟองในชาม ผสมให้เข้ากัน

Step 4
ทาส่วนผสมลงบาง ๆ บนใบหน้า เน้นส่วนที่ต้องการกำจัดสิวเสี้ยนมากเป็นพิเศษ

Step 5
ตัดแบ่งกระดาษเช็ดปากเป็นสี่เหลี่ยมทั้งหมด 5 ชิ้น แล้วแปะลงบนหน้าผาก จมูก คาง และแก้มทั้งสองข้าง กระดาษเช็ดปากจะติดแน่นบนผิวหน้า ปล่อยทิ้งไว้จนกระดาษเริ่มแข็งตึง ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

Step 6
ค่อย ๆ ลอกกระดาษเช็ดปากออก จะเห็นว่ามีสิวเสี้ยนติดออกมาด้วย จากนั้น ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจัดเพื่อปิดรูขุมขนค่ะ


Tips

มะนาว มีกรดอัลฟาไฮดร็อกไซด์ที่มีสารขัดผิวตามธรรมชาติและรักษาสิว สามารถจัดการกับสิวเสี้ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนไข่ขาวนั้น มีส่วนช่วยตรึงอิลาสตินในผิว ทำให้รูขุมขนกระชับ และยังดูดซับน้ำมันส่วนเกินในผิว ที่สำคัญยังช่วยบำรุงผิวที่เริ่มมีริ้วรอยได้อีกด้วย

รู้จักวิธีกิน...เพื่อหน้าเด้ง

รู้จักวิธีกิน...เพื่อหน้าเด้ง



มีความพยายามมากมายในการที่ธุรกิจความงามจะหาครีมมาช่วยกระชับใบ หน้า และกำจัดริ้วรอยให้กับคุณสาว ๆ ที่นับวันเป็นสาวน้อยลง และในที่สุดทุกคนก็ค้นพบความลับว่า "คอลลาเจน" เป็นต้นเหตุสำคัญของการเด้งหรือไม่เด้งของใบหน้าคนเรา

คอลลาเจนเป็นโครงสร้างหลัก และเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างสุดของผิวหนังคนเรา มันจึงจำเป็นต้องเก็บรักษาความอ่อนนุ่มชุ่มชื่นของผิวไว้ทั้งหมด มันจึงเปรียบเสมือนฟูกหรือเบาะนุ่ม ๆ ในขณะที่คุณอายุน้อยเบาะนี้จะเป็นตัวสร้างความยืดหยุ่น แต่เมื่อไหร่ที่คุณอายุมากมันจะเริ่มหย่อนลงเล็กน้อย

และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากเรื่องของอายุและปริมาณของคอลลาเจนที่มีอยู่ในผิวหนัง เกิดการสลายตัว ขณะเดียวกันก็ถูกให้หนาแน่นขึ้นเช่นกัน

ในวัยหนุ่มสาวสุขภาพผิวของคนเราจะมีเส้นใยคอลลาเจนลอยเป็นจำนวนมาก ซึ่งเส้นใยเหล่านี้จะเป็นตัวที่คอยดึงความยืดหยุ่นของผิวให้กลับมาสู่จุดเดิม หลังจากการที่เรายิ้มหรือหน้าบึ้ง แต่เมื่อไรที่คอลลาเจนเริ่มเสื่อมสลาย ผิวหนังของเราก็จะสูญเสียความยืดหยุ่น และไม่สามารถเด้งกลับมาสู่จุดเดิมได้ จึงเป็นที่มาของรอยเหี่ยวย่นนั่นเอง

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มาจากความจริงที่ว่า เมื่อเราอายุ 25 ปีขึ้นไป เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายจะเริ่มผลิตคอลลาเจนลดน้อยลง โดยปกติแล้วการลดลงของเบาะหรือฟูก นิ่มนี้ จะทำให้เกิดร่องในชั้นผิว และเมื่อชั้นผิวเกิดร่องมันก็จะไม่กักเก็บความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ และไม่สามารถส่งต่อความชุ่มชื้นไปสู่ผิวชั้นบนสุดได้ หรือที่มักเข้าใจได้ดีว่าผิวเกิดรอยเหี่ยวย่นนั่นเอง

ขณะเดียวกัน ครีมทาหน้าต่าง ๆ ก็มีการผลิตขึ้นมาเพื่อให้สามารถป้องกันในเรื่องของอายุ เช่นกัน โดยมีใบฉลากที่อ้างว่าได้บรรจุส่วนผสมที่มหัศจรรย์ โดยอวดอ้างและยืนยันว่ามีโมเลกุลของคอลลาเจนจำนวนมากผสมอยู่ด้วย และจะแทรกซึมเข้าไปสู่ผิวหนังได้ดี แต่ทำไมครีมตัวใหม่จากลอรีอัลจึงไม่ถูกต่อต้าน

เรียกได้ว่าเป็นความพยามที่ต้องการให้คอลลาเจนสามารถเข้าสู่ผิวหนังได้โดย วิธีภายนอก พวกเขาอ้างว่าสามารถนำคอลลาเจนมาผลิตเป็นเซลล์ ที่ช่วยทำให้เกิดความอ่อน เยาว์กลับมาสู่ผิวหนังได้ แต่จะมีราคาค่อนข้างแพงมากสำหรับวัตถุชนิดนี้

ครีมที่เปิดตัวภายใต้แบรนด์ "วิกชี่" เจ้าของผลิตภัณฑ์เดียวกับลอรีอัล ได้กำหนดราคาครีมชนิดนี้ไว้ที่ 27 ยูโร ซึ่งราคานี้ยังไม่สามารถซื้อได้จนกว่าจะถึงเดือนเมษายน แต่ยังมีหนทางอื่นที่คุณสามารถเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิวของคุณได้ โดยไม่ต้อง พึ่งพาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีราคาแพง และวิธีนั้นก็คือการกินอาหารนั่นเอง

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง รวมถึงนักโภชนาการได้ออกมาระบุว่า อาหารที่คุณชอบรับประทานมากที่สุดนั้น ช่วยทำให้ผิวของคุณสามารถเก็บกักคอลลาเจนจำนวนมากไว้ได้ วางทุกอย่างไว้ด้วยกัน และผลลัพธ์ที่ได้คือ การมีใบหน้ายกกระชับจากอาหารที่รับประทาน..เรามาดูกัน







เต้าหู้และถั่วเหลือง

วัยหมดประจำเดือนเป็นวัยที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดน้อยลง ซึ่งฮอร์โมน ชนิดนี้จะมีส่วนทำให้ระดับคอลลาเจนในผิวลดลงเช่นกัน จากการวิจัยชี้ให้เห็น ว่าคอลลาเจนประเภทใดประเภทหนึ่ง จะลดลงร้อยละ 30 หลังจากช่วง 5 ปีแรกของการหมดประจำเดือน

แต่จากการวิจัยยังค้นพบว่า ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนนั้น มีระยะการเก็บกักระดับคอลลาเจนในผิวได้มากที่สุด โดยคิดเป็น 6 เท่า หรือร้อยละ 6 ภายในระยะเวลา 6 เดือน

ในถั่วเหลืองนั้นมีสารที่เรียกว่า "Phytoestrogens" (สารเคมีที่พบได้ตาม ธรรมชาติ โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่ว) ซึ่งสารตัวนี้สามารถช่วยทดแทนฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีอยู่ในร่างกายได้ และถ้าคุณอยู่ในวัยสูงอายุ ผลิตภัณฑ์นมถั่ว เหลืองที่คุณดื่มอยู่เป็นประจำ จะช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื่นและคอลลาเจนในผิวไว้ได้





ปลาแซลมอน

ปลาแซลมอนและน้ำมันปลาอื่น ๆ เช่น ปลาแมคคอเรล ปลาแฮร์ริ่ง และปลาซาร์ดีน มักได้รับการประกาศให้รู้ว่า มีสารอาหารที่จำเป็นต่อผิวหนัง เพราะในปลาเหล่านี้จะมีระดับโอเมก้า 3 หรือกรดไขมันอิ่มตัว ที่ช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื่นให้แก่ผิวได้

อย่างไรก็ตาม ในประเทศสหรัฐอเมริกา ดร.นิโคลราส เพอร์ริโคน ยังได้สนับสนุนเกี่ยวกับน้ำมันในปลาเหล่านี้ว่า สามารถช่วยลดการอักเสบที่เกิดขึ้นในผิวหนังให้ลดลงได้ และเขาเชื่อว่าการอักเสบของผิวหนังนั้น ไม่สามารถมองเห็นได้ เพราะว่ามันเกิดขึ้นอยู่ใต้ผิวหนังนั่นเอง ดังนั้น ระดับความไวของคอลลาเจน ที่เกิดจากย่อยโดยการรับประทานปลาแซลมอน จะช่วยป้องกันอาการอักเสบ รวมทั้งช่วยเป็นบล็อกป้องกันคอลลาเจนไว้ที่ผิวได้






ไก่งวง

ไก่งวงนั้นเรียกได้ว่าเป็นแหล่งของโปรตีนเลยก็ว่าได้ เพราะโปรตีนชนิดนี้จะ เป็นตัวระบบป้องกันคอลลาเจนในผิวเอาไว้ ซึ่งโปรตีนชนิดนี้จะถูกบรรจุให้อยู่ในรูปของโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า "Carnosine" (เป็นยาต้านการเสื่อมสภาพของผิว ซึ่งจะพบได้ในกล้ามเนื้อ)

สาร Caarnosine นี้ สามารถช่วยชะลอกระบวนการเกิด เส้นใยคอลลาเจนสลายตัวนั่นเอง ขณะเดียวกันหากคุณรับประทานไก่งวง จะช่วยทำให้คุณเก็บรักษาคอลลาเจนไว้ในผิวของคุณได้ โดยที่ผิวของคุณจะอ่อนนุ่มชุ่มชื่น และผลลัพธ์ที่ตามมาคือผิวหนังของคุณจะได้มากกว่าความหยืดหยุ่น






ผักขม

ผักสีเขียวที่มีใบอยู่เป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับผักขมนั้น มีอยู่ด้วยกัน หลายชนิดไม่ว่าจะเป็น ผักกะหล่ำปลี ผักแพงพวย ผักคะน้า ซึ่งผักเหล่านี้จะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เรียกกันว่าสารลูทีน (สารที่เหลืองที่พบได้ในเมล็ดพืช หรือไข่แดง) และสารต้านอนุมูลอิสระนั้น มีความสำคัญมาก ถ้าหากคุณต้องการเก็บกักคอลลาเจนเอาไว้ในผิว เพราะคนทั่วไปมักคิดว่าสารชนิดนี้สามารถช่วยล้างพิษจากสารเคมี

สารต้านอนุมูลอิสระเป็นสารระเหย และเป็นสารเคมีที่สร้างขึ้นจากร่างกาย ซึ่งการระเหยนั้นจะได้รับปัจจัยจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดหรือมลพิษดังนั้นระบบการป้องกันที่มีอยู่ในตัวคุณนั้น เปรียบได้กับการที่คุณสามารถรักษาระดับคอลลาเจนในร่างกายไว้ได้อย่างยาวนาน





บลูเบอร์รี่

วิตามินซีเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างคอลลาเจน เช่นเดียวกับผลเบอร์รี่ และผลบลูเบอร์รี่ รวมถึงสตรอเบอร์รี่ ซึ่งผลไม้เหล่านี้จะอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นส่วน ประกอบสำคัญในการผลิตคอลลาเจน และเป็นตัวช่วยเสริมอาหารได้ ในกรณีของผู้ที่ขาดวิตามินซีอย่างรุนแรงนั้น จะทำให้เขาเป็นผู้ที่มีพัฒนาการที่ช้า เพราะการขาดวิตามินซี จะส่งผลต่อเนื้อเยื่อและฟัน รวมถึงกระดูกอ่อนและเส้นเอ็นให้อ่อนแอลง

ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เช่น การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าร่างกายของคุณมีสิ่งหนึ่งที่จำเป็นมากในการช่วยสร้างระบบป้องกัน รวมทั้งมีส่วนช่วยในการผลิตคอลลาเจน นอกจากนี้มันยังจะช่วยหนุน ร่างกายของคุณให้มีระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่เหมาะสมอีกด้วย

เมื่อคุณเริ่มมีอายุมากขึ้นควรหลีกเหลี่ยงอาหารหวานหรืออาหารประเภทแป้ง เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะเกิดการแตกตัวอยู่ในรูปของน้ำตาลที่เป็นศัตรูกัน (ถูกต้องที่สุด น้ำตาลธรรมชาติถูกบรรจุอยู่ในผักใบเขียวรวมถึงผลเบอร์รี่ แต่หากคุณรับประทานสิ่งเหล่านี้มากจนเกิน จะทำให้ประเสียประโยชน์มากกว่าได้รับประโยชน์)

ที่มา
http://women.kapook.com/view22035.html

เทคนิคการล้างหน้า แบบมืออาชีพ

เทคนิคการล้างหน้า แบบมืออาชีพ



ล้างหน้าแบบมืออาชีพ (Lisa)

ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ผิวหน้าของเรา เนียนสวย ไร้สิว และเปล่งปลั่งตลอดเวลา วันนี้เรามี เคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างมืออาชีพ มาฝากกันค่ะ

ขั้นตอนการล้างหน้าแบบมืออาชีพ

ลูบไล้คลีนเซอร์ลงบนใบหน้า ลำคอ และเนินอก (อย่าหยุดอยู่แค่ขากรรไกร)

การนวดด้วยคลีนเซอร์ จะช่วยกระตุ้นความเปล่งปลั่งให้ผิวได้ โดยเริ่มจากการค่อย ๆ ลากมือลงไปที่คอ เพื่อกระตุ้นระบบระบายของเสียภายในร่างกาย จากนั้น ลากนิ้วเป็นแนววงกลมออกจากใบหน้าและขึ้นไปข้างบน

ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ถ้าใช้น้ำร้อนเกินไปจะทำให้ผิวเสียได้ แต่ถ้าใช้น้ำเย็นเกินไป ก็จะทำให้รูขุมขนหดตัว จนทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ได้ยาก และอย่าลืมว่า หลังล้างหน้าทุกครั้งควรตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ทันที

สารพัดเทคโนโลยีกระชับผิวหน้า

สารพัดเทคโนโลยีกระชับผิวหน้า



ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การศัลยกรรมเสริมความงาม ที่กำลังเป็นที่นิยมมากที่สุดทั่วโลกในขณะนี้ คงจะหนีไม่พ้นการยกกระชับใบหน้าให้เต่งตึง อ่อนเยาว์ เพราะริ้วรอย ถือเป็นปัญหาผิวหน้าอันดับหนึ่งที่สาว ๆ ไม่อยากให้มันมาปรากฎบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย จึงไม่แปลกที่สาว ๆ ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยแห่งริ้วรอย จะรีบหันหน้าหาคลินิกเสริมความงาม เพื่อชะลอริ้วรอยไม่ให้มันเกิดขึ้นจนได้

และเมื่อการมีใบหน้าที่เต่งตึง อ่อนเยาว์ ไร้ริ้วรอย เป็นสิ่งที่สาว ๆ ทุกคนต้องการ เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อการยกกระชับผิวหน้าจึงเกิดขึ้นมากมายให้ได้เลือกใช้กัน ซึ่งวันนี้ กระปุกดอทคอมก็จะขอรวบรวมสารพัดวิธีกระชับผิวหน้ามารวมไว้ที่นี่ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับสาว ๆ ที่กำลังคิดอยากจะยกกระชับผิว แต่จะมีวิธีใดบ้างนั้น ไปดูกันเลยค่ะ

1. การฉีดโบท็อกซ์ โบท็อกซ์ เป็นวิธียกกระชับผิวหน้ายอดนิยมที่จะแพทย์จะฉีดสาร โบทูลินัม ท็อกซิน สารพิษที่ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ และแน่นอนว่า เมื่อมันถูกนำมาใช้กับใบหน้า ไม่ว่าจะบริเวณตีนกา หรือหน้าผาก ก็จะทำให้ผิวที่หดเกร็งอยู่นั้นคลายตัว อีกทั้งยังมีการเจือจางตัวยาผสมกับ โบทูลินัม ท็อกซิน ไปกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิวอีกด้วย จึงทำให้การฉีดโบท็อกซ์ได้ผลดีมากเลยทีเดียว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น สาว ๆ ก็ควรระวังเรื่องการฉีดในปริมาณเยอะ และบ่อยด้วย เพราะจะทำให้หน้าเต่งตึงดูผิดธรรมชาติ และเมื่อฉีดบ่อย ๆ ต่อเนื่องกันนาน ๆ ร่างกายเราอาจจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา ทำให้สามารถกำจัดตัวยา และทำให้ใบหน้าเต่งตึงได้ไม่นานก็กลับมาเหี่ยวย่นอีกก็เป็นได้ สำหรับอายุของการรักษาความเต่งตึงของผิวนั้น อยู่ที่ประมาณ 6 เดือน ก็ต้องฉีดซ้ำค่ะ

2. การฉีด hyaluronic acid เป็นการฉีดเสริมส่วนที่ขาดหายไปในชั้นผิวหนัง เช่น รอยแผลเป็นขนาดเล็ก หลุมสิว ร่องแก้ม ซึ่งได้รับการยอมรับจาก อย. แล้วว่าเป็นสารที่ปลอดภัย ไม่มีการตกค้างในร่างกาย ส่วนผลลัพธ์ที่ได้ก็คล้ายกับการฉีดโบท็อกซ์ นั่นคือ รอยแผลเป็น และรอยลึกตื้นขึ้น แต่การฉีด hyaluronic acid จะดูเป็นธรรมชาติกว่า และสารนี้จะสลายตัวในเวลาไม่เกิน 6 เดือนเช่นเดียวกับโบท็อกซ์ ดังนั้น หากอยากจะมีผิวเต่งตึงยาวนาน ก็ต้องฉีดซ้ำทุก ๆ 6-7 เดือนค่ะ

3. การฉีดไขมัน (Lipofilling) เป็นเทคโนโลยีที่แพทย์จะดูดเอาไขมันของผู้เข้ารับการรักษา จากบริเวณหน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก ออกมาแล้วนำมาผ่านขั้นตอนการเตรียมเซลล์ไขมัน ก่อนที่จะฉีดเข้าไปบริเวณใบหน้าของผู้เข้ารับการรักษา ทำให้แก้มดูเต็มและเต่งตึงขึ้น โดยวิธีนี้ถือว่ามีความปลอดภัยมาก เพราะสิ่งที่ฉีดเข้าไปบนใบหน้านั้น ไม่ใช่สารแปลกปลอม แต่เป็นสิ่งที่ได้จากร่างกายของผู้เข้ารับการรักษาเอง

4. การร้อยไหมทอง เป็นการศัลยกรรมคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว ฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูเต่งตึง สามารถยกกระชับผิวหน้าได้นานถึง 8-15 ปีเลยทีเดียว ซึ่งวิธีการร้อยไหมทองสู่ผิวนี้ แพทย์จะใช้เส้นไหมทองบริสุทธิ์ 99.99% ขนาดเล็กมากร้อยเข้าไปใต้ผิว เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและกระบวนการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว เมื่อเส้นไหมถูกร้อยเข้าไปแล้ว ก็จะเกิดการสร้างคอลลาเจนเกาะหุ้มเส้นไหม ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นกระชับเต่งตึงขึ้น ริ้วรอยตื้นขึ้น และการเข้าไปกระตุ้นการไหลเวียนเลือดของเส้นไหม ก็จะทำให้ผิวหน้าดูมีเลือด ฝาด สุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และคงความอ่อนเยาว์อยู่อย่างนั้นนานกว่า 10 ปี โดยไม่ต้องทำซ้ำอีกบ่อย ๆ ซึ่งผิวหน้าจะเต่งตึงมากที่สุดในช่วง 2-3 ปีแรก ก่อนเส้นไหมทองจะค่อย ๆ กระจายตัวและละลายหายไปหลังจากนั้น และผิวก็จะมีความยืดหยุ่นน้อยลงเรื่อย ๆ ส่วนค่าใช้จ่ายในการรักษานั้น ก็จะแพงหน่อย เพราะคงความอ่อนเยาว์ได้นานสูงสุดถึง 15 ปี ก็เลยทำให้ราคาในการร้อยไหมทองนี้ สูงถึงคอร์สละ 2 แสนถึง 1 ล้านบาทเลยทีเดียว

5. Ultherapy เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในวงการแพทย์ผิวหนัง ที่สามารถยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้คลื่นเสียง Ulthera ซึ่งเป็นคลื่นเสียงที่มีความถี่สูง ไปปรับสภาพใต้ผิวหนัง โดยแพทย์จะปล่อยคลื่นเสียงนี้ลงไปยังผิวหนังบริเวณที่หย่อนคล้อย หรือมีริ้วรอย ซึ่งพลังงานนี้จะเปลี่ยนเป็นความร้อนจุดเล็ก ๆ กระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนเติมเต็มในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหน้าเต่งตึงและเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อผิวหนังบริเวณข้างเคียง แถมยังไม่ต้องเจ็บตัวเหมือนกับวิธียกกระชับใบหน้าหลาย ๆ วิธีด้วย ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาทีต่อการรักษา 1 ครั้ง และจะค่อย ๆ เห็นผลทีละน้อย และชัดเจนที่สุดเมื่อเข้ารับการรักษาติดต่อกันประมาณ 2-3 เดือน ส่วนความปลอดภัยนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะเทคโนโลยนี้มีความปลอดภัยสูงมาก หลังจากเข้ารับการรักษาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษเลย

6. กระชับผิวหน้าแบบแทรมโปลีน เป็นวิธีผ่าตัดเพื่อยกกระชับผิวโดยตรง ซึ่งแพทย์จะดึงใบหน้าในบริเวณที่หย่อนคล้อยให้ตึง เหมือนผ้าใบแทรมโปลีน สามารถยึดอายุผิวอ่อนเยาว์ได้นาน และใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1 สัปดาห์ วิธีนี้ลดภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ไม่ทำลายเส้นประสาท ไม่ก่อให้เกิดภาวะเลือดแข็งตัว ราคาต่อหนึ่งครั้งตอนนี้ประมาณ 160,000 บาท

และวิธีเหล่านี้ ก็คือวิธีการยกกระชับผิวที่ดูเหมือนจะเป็นที่นิยมมากที่สุด อย่างไรก็ดี ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้วิธีใด สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืมเลยก็คือ ความปลอดภัย ความสะอาด และคุณภาพของสถานเสริมความงามที่คุณจะเข้าไปใช้บริการ ซึ่งคุณควรแน่ใจก่อนว่า ศัลยแพทย์นั้นมีความเชี่ยวชาญในการยกกระชับผิววิธีต่าง ๆ จนไม่ทำให้เกิดผลร้ายตามมาได้ ยังไงก็อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ดี ปรึกษาแพทย์ และลองถามกับคนที่มีประสบการณ์ในการยกกระชับผิวนั้น ๆ ด้วยนะคะ ทั้งนี้ก็เพื่อความสวยที่ไม่เสี่ยงของคุณนั่นเองค่ะ


ที่มา
http://women.kapook.com/view24577.html

นอนดึก พฤติกรรมทำผมเสีย-หลุดร่วง



นอนดึก พฤติกรรมทำผมเสีย-หลุดร่วง

ในหมู่ผู้หญิงนอนดึกส่วนใหญ่ มักจะให้ความสำคัญกับการปรนนิบัติผิวหน้า และรอยคล้ำใต้ตาเป็นพิเศษ เพราะมักจะคิดกันว่า ปัญหาผิวคงเป็นปัญหาเดียวที่ต้องจัดการให้ได้ ถ้าเมื่อไหร่มีเวลานอนน้อย หรือนอนหลับไม่เพียงพอ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว การนอนดึก ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่กับผิวพรรณของสาว ๆ เท่านั้นนะคะ ใครจะรู้ว่า การนอนดึกก็ส่งผลกับสุขภาพผมของคุณไม่น้อยเลยล่ะ มันอาจจะทำให้ผมเสีย หรือหลุดร่วงง่าย ๆ ได้เหมือนกัน แถมยังยากที่จะแก้ไขเหมือนปัญหาผิวพรรณของคุณ ๆ เสียอีก วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอหยิบยกเรื่องนี้มาฝากกันค่ะ

เป็นที่รู้กันดีว่า เวลาที่เรานอนหลับพักผ่อนนั้น เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของเราได้ซ่อมแซม และฟื้นฟูระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งการซ่อมแซมนี้ จะส่งผลไปทุกส่วนในร่างกาย เพื่อให้อวัยวะต่าง ๆ ได้ชาร์จแบตและตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า พร้อมใช้งานและเคลื่อนไหวทุกส่วนของร่างกายอีกครั้ง

และเมื่อเส้นผม ก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเช่นเดียวกัน จึงไม่แปลกถ้าหากการพักผ่อนนอนหลับที่เพียงพอ จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพผมยามนอนหลับได้ ตรงกันข้าม ถ้าหากร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ก็จะทำลายสุขภาพผมไปโดยไม่รู้ตัว

และเพื่อเป็นการสนับสนุนหลักการดังกล่าว ทีมแพทย์จากคลินิก เดอะ เบลกราเวีย เซ็นเตอร์ ได้เปิดเผยว่า การนอนดึกจะส่งผลกระทบต่อการทำงานทุก ๆ ระบบในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภูมิคุ้มกันในร่างกาย การหลั่งฮอร์โมน ความแข็งแรงทางด้านร่างกายและจิตใจ และระบบภายในทุกส่วน โดยเฉพาะกับเส้นผม การนอนดึกถือว่ามีอิทธิพลมากมายสุขภาพผมโดยตรงเลยทีเดียว เพราะเส้นผมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่อ่อนแอ เปราะบาง และเสียได้อย่างง่าย ๆ ซึ่งเมื่อเราอดหลับอดนอน หรือร่างกายได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ ภายในร่างกายก็จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และทำให้ความเครียดเริ่มก่อตัวขึ้นภายในโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว ซึ่งความเครียดที่มีนั้น ส่งผลต่อเส้นผมโดยตรง เมื่อคนเราเครียด ผมก็จะร่วงได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้น พฤติกรรมการนอนที่เหมาะสม และเพียงพอในแต่ละวัน จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนเราอย่างมาก สาว ๆ จึงไม่ควรละเลยการดูแลตัวเอง ดูแลเส้นผมด้วยการนอนหลับให้เพียงพอทุกวัน เพื่อไม่ให้สุขภาพผมถูกทำลาย หรือขาดหลุดร่วง ไม่มีชีวิตชีวาได้ และนอกจากจะนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่ขอแนะนำสำหรับคนที่อยากมีผมสุขภาพดี ก็คือ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมยามค่ำคืน อย่างผลิตภัณฑ์ประเภท Overnight Repair ที่ช่วยทำให้สุขภาพผมเงางามมากขึ้น ควบคู่ไปกับการนอนหลับให้เพียงพอด้วย ทั้งนี้เพื่อให้คุณมีสุขภาพผมดีชนิดคูณสอง หรือจะถนอมเส้นผมด้วยการใช้หมอนผ้าไหม หรือซาติน ควบคู่ไปอีกก็ได้ ลดสภาวะผมถูกทำร้ายได้อีกเยอะเลยล่ะค่ะ


ที่มา
http://women.kapook.com/view24704.html

ริ้วรอยแห่งวัย เกิดขึ้นตอนไหน

ริ้วรอยแห่งวัย เกิดขึ้นตอนไหน (Lisa)



ริ้วรอยแห่งวัย ยากนักที่คิดจะหลีกเลี่ยง แต่เราสามารถที่จะ ชะลอ ริ้วรอยแห่งวัยนี้ได้ ถ้าเรารู้ได้ว่า มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เพื่อที่เราจะได้ปกป้องผิวหน้า หรือผิวกายของเราตอนไหนหรือว่าช่วงเวลาใด และถ้าเราได้รู้ว่าช่วงเวลาใดเหมาะสมก็จะได้ทำการป้องกัน ริ้วรอยแห่งวัย ให้เกิดช้าลงได้ รวมถึงการบำรุงผิวหน้า ที่จะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะสามารถเป็นตัวช่วยนัมเบอร์ วันเลยทีเดียวค่ะที่จะช่วยแก้ปัหหา ริ้วรอยแห่งวัย ของคุณได้อย่างชะงัก คุณพร้อมที่จะรู้คำตอบของริ้วรอยแห่งวัยว่าเกิดขึ้นกันตอนไหนบ้างนะ....???

น่ารู้! ริ้วรอยแห่งวัย "เกิดขึ้นตอนไหน...?"

- ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย

- ผิวหนังบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้าเป็นผิวส่วนที่หนาที่สุดของร่างกาย

- ผิวที่ริมฝีปากและรอบดวงตาคือ ส่วนที่บางที่สุด

- ผิวหน้ามีความหนาประมาณ 0.12 มม.

- ผิวหนังทั้งหมดมีน้ำหนักเท่ากับ 16% ของน้ำหนักตัว

- ผิวหนังมีเลือดหล่อเลี้ยงอยู่ 1/4 ของร่างกาย

- 1/3 ของน้ำในร่างกายอยู่ที่ผิวหนัง

ช่วงอายุที่จะเกิดริ้วรอย

- อายุ 18-24 ปี
สาววัยนี้จะเริ่มปรากฏริ้วรอยบาง

- อายุ 25-35 ปี
- เริ่มปรากฏริ้วรอยแห่งวัย

- มีร่องรอยความหย่อนยานบริเวณรอบดวงตา

- เริ่มสูญเสียความยืดหยุ่นของผิวทีละน้อย

- อายุ 35-44 ปี
- ปรากฏริ้วรอยต่าง ๆ มากขึ้น

- ผิวบริเวณรอบดวงตาเริ่มหย่อนยาน

- อายุ 45-55 ปี
- รอยย่นต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น

- ผิวบริเวณรอบดวงตาและแก้มเริ่มหย่อนยาน

- ผิวหยาบกร้าน รูขุมขนขยายใหญ่ขึ้น

จาก
ลิสา