วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

การเลือกกางเกงในผู้ชายที่ควรรู้

เลือก “กางเกงในชาย” ทรงไหน เนื้อผ้าใด ให้เหมาะกับหนุ่มข้างกาย!?


"คอนเซ็ปต์ของกางเกงใน คือ ใส่แล้วต้องให้แนบเนื้อมากที่สุด รู้สึกได้น้อยสุด"

คุณบู้-สมยศ อภิชัยเกรียงไกร เจ้าของโรงงานผู้ผลิตชุดชั้นในชายส่งออก และเจ้าของร้าน M.I.G. แบรนด์ชุดชั้นในชายของไทย บอก เล่าความหมายของสิ่งที่เรียกว่า "ชั้นในชาย" หรือ “กางเกงลิง” บ้างเรียกขานว่า “กางเกงใน” ซึ่งจะเรียกชื่อจริง ชื่อเล่นอะไรก็แล้วแต่ มันก็คือ สิ่งที่ใช้ห่อหุ้มแท่งอ้อยของท่านชายไม่ให้ย้อย ห้อย โตงเตง ถูกฝนโดนแดดนั่นแหละ...

ความที่เติบโตมากับกองชุดชั้นในชาย (รุ่นคุณพ่อบุกเบิกสร้างโรงงานผลิตชุดชั้นในชายส่งออก) และมาสานงานต่อเป็นผู้บริหารโรงงาน สร้างแบรนด์-เปืดร้านของตัวเองขึ้น ถือว่าเขาคือ กูรูรู้ลึกรู้จริงเรื่องกางเกงในชาย

เขาจะมาบอกสาวเราว่า จริงๆ แล้วกางเกงในชายนั้นมีกี่รูปทรง แบบไหนที่ผู้ชายเห็นแล้วอยากสอย อยากโดนมากที่สุด หรือผู้หญิงเห็นปั้บต้องคว้าหมับพุ่งรี่ซื้อให้คุณสามีสวมใส่กันเลยทันที


"เมื่อก่อนผู้หญิงมักมาซื้อกางเกงในให้สามี หรือแฟนโดยปกติอยู่แล้ว เหมือนกับวัฒนธรรมคนไทยมากกว่า ที่ผู้ชายจะเขินๆ อายๆ

แต่ว่าตอนนี้โลกมันเปิดกว้างขึ้น กลุ่มพวกเกย์มากขึ้น สินค้าอื่นๆ ก็จะมาจับกลุ่มผู้ชายโดยเฉพาะ เช่น ครีม ผู้ชายยังใช้เลย พวกเครื่องสำอาง โลชัน สินค้าเปิดกว้างมากขึ้น ผู้ชายก็จะออกมาซื้อเอง อยู่ในจุดที่เขาเลือกเอง พอเขาเลือกเองก็จะรู้แล้วว่า ชอบแบบไหน"

ผู้ชายวัย30+ ควรเปลี่ยนแบบ เลือกทรงกางเกงในใหม่เถอะ เพราะพุงเริ่มมาเยือน แถมไขมันก่อตัว หวั่นแพ้ขอบยาง ผุดผดผื่น กูรูบู้แนะนำมา

"เคยมีพ่อบ้านมาเดินซื้อน่ะ พอเขามาคุยก็จะรู้แล้วว่า กางเกงในที่เขาใส่อยู่มีปัญหาอะไร เราจะเหมือนให้คำปรึกษามากกว่า ว่าใส่ทรงนี้แล้วผิวหนังเป็นผื่นเป็นเม็ด พี่ใส่รุ่นไหนอยู่ พี่แพ้ขอบยางอยู่ พี่รู้ไหม ซึ่งผู้ชายวัยสามสิบขึ้นไปเนี้ยจะเริ่มมีหน้าท้อง มีเนื้อหนังมากขึ้น ดังนั้นควรเปลี่ยนแบบของกางเกงในได้แล้ว"

แต่ก็มีผู้ชายบางคนทู่ซี้ใส่ของเก่าไม่ยอมเปลี่ยนใหม่ซะที กลับบอก ยิ่งเก่ายิ่งดี สัมผัสนุ่มละมุนผิว ของใหม่มันฟิต อึดอัด คับพุง

"พ่อบ้านบางคนบอกว่า ยิ่งเก่ายิ่งดี เพราะมันบางและนิ่มไง เขาจึงรู้สึกว่า ของใหม่มันอึดอัด ไม่นิ่มไม่อยากใส่เลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้น อ้วนท้วมมากขึ้น จึงเป็นเรื่องปกติ

บางคนงงว่า เอ๊ะ ทำไมเดี๋ยวนี้ใส่ไซส์เดิมไม่ได้แล้ว เริ่มงง บางคนพอมีเนื้อหนังมากขึ้นแพ้ขอบยาง เกิดผด เกิดผื่น ต้องเปลี่ยนรุ่น เหมือนว่ารุ่นนี้ไม่เหมาะแล้ว เขาควรไปใส่รุ่นที่เป็นขอบผ้า เพื่อจุดสัมผัสเป็นผ้ากับผ้า ไม่ใช่เป็นมีอะไร มียางมากดทับมากขึ้น"

กางเกงในไทยเคยมีโอกาสลัดฟ้าสู่ตลาดยุโรป แต่แป้ก! เพราะผลของฝรั่งนั้นพวงใหญ่ แถมลำต้นยิ่ง “เบ้อเริ่ม”

คุณบู้ให้เหตุผลเชิงขนาดว่า

“กางเกงในผู้ชายจะมีไซส์ตั้งแต่ S-2X แล้วแต่จะจับกลุ่มไหน เช่นพวกคนไทย ญี่ปุ่น มาเลย์ ฟิลิปปินส์ พวกเอเชียจะใส่ประเภทเดียวกัน คือ ไซส์เล็ก

แต่ถ้าพวกโซนยุโรป มันค่อนข้างรุ่นเฉพาะมากๆ สำหรับเขา เพราะของเขาค่อนข้างใหญ่ กางเกงในของเราส่งไปทางประเทศเขาจึงขายไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เคยมีจากสวิตเซอร์เเลนด์ เขาเอาสินค้าเราไปทั้งแบรนด์ ไปถึงแล้วแป้ก เนื่องจากพวกเขาใส่สินค้าของเราไม่ได้ พวกเขาตัวใหญ่มาก”

บ้านเขาอากาศเย็น อุณหภูมิยะเยือก อีกทั้งเสากระโดงล่ำ ยาว จึงต้องมีพอกเก็ต (pocket หมายถึงถุง/ซองเล็กๆ) เพื่อเอาไว้ม้วนเก็บไอ้ใบ้ไม่ให้เพ่นพ่านเลื้อยเลาะโผล่หัวแล่บ อีกทั้งยังสร้างความอบอุ่น อยู่ดีมีสุข ภายใต้ชายคากางเกงในอันหนานุ่ม ซึ่งคุณบู้ให้ข้อมูลกางเกงในชายแบบฝรั่งว่า

“เราทำสินค้าให้เขา เราเลยรู้ว่า ทำไมบ้านเขาต้องมีพอกเก็ต เนื่องจากใหญ่บ้านเขาเป็นเมืองหนาว และที่สำคัญ อวัยวะเพศของฝรั่งเขาใหญ่ จึงต้องมีไว้เก็บโดยส่วนนั้นโดยเฉพาะ บางคนใส่กึ่งลองจอห์น (Long John-ชุดซับในกันหนาว) เลยก็มีน่ะ เพราะอากาศหนาวมากไง”

อ่ะ ฮ้า เกริ่นกันพอหอมปากหอมคอแล้ว กูรูบู้จะมาเปิดเผยต่ออีกว่า กางเกงในชายมีกันกี่ทรง แล้วผู้ชายรูปร่างผอมโซเป็นไม้เสียบผี หรืออ้วนฉุ ก้นงอน พุงล้ำหน้า ควรเลือกกางเกงในทรงไหนดีล่ะ

แบบแรก: บิกินี่
-รุ่นเบสิก ใส่เอ๊าะยันแก่ กระชับทุกช่วงวัย


กางเกงในสไตล์บิกินี่ ชายไทยทุกคนล้วนมีไว้ถือครองเป็นกรรมสิทธิ์กันทุกช่วงวัย เป็นรุ่นบุกเบิกของวงการกางเกงในชายเลยทีเดียว

“ทรงบิกินี่ (Bikini) จะเป็นรุ่นเบสิก (basic-พื้นฐาน) เลย จริงๆ เหมาะสำหรับผู้ชายที่ผอมน่ะ พวกเด็กชายวัยรุ่น10-20 ปลายๆ ส่วนใหญ่จะใส่รุ่นนี้ เพราะมันจะกระชับ แต่เดี๋ยวนี้พฤติกรรมก็เปลี่ยนไปอีกล่ะ บางทีบ็อกเซอร์ (Boxer) ฮิตไง เด็กก็อยากใส่ ซึ่งเขาไม่ได้คำนึงว่า ใส่ได้หรือไม่ได้

รุ่น พวกนี้มันเป็นเบสิก ราคาค่อนข้างถูก คล้ายๆ สินค้ามีทู (Mee too-คุณทำได้ ผมแจมด้วย) มากกว่าใครๆ ก็ทำ พื้นตลาดมันกว้าง การทำชุดชั้นในก็ต้องมีรุ่นเบสิกอยู่แล้ว กลุ่มลูกค้าก็อายุตั้งแต่10-30 ปี กลุ่มอายุค่อนข้างกว้าง ประหยัด รุ่นนี้ขายดี คนนิยมใส่กันครับ”

แต่จริงๆ แล้ว “ไม่มีให้เลือก” มากกว่า กูรูบู้เผย

“เพราะ มันไม่มีให้เลือกไง พวกกางเกงในทรงฮาล์ฟบรีฟ (Half Brief) ที่เข้ามาเมืองไทย เมื่อก่อนมันมาจากพวกเมืองนอกขายบนห้างฯเท่านั้น กางเกงในทรงนี้จะแพงมาก คนที่มีกำลังซื้อบ้านเรายังไม่ค่อยมาก เหมือนกับต้องทนๆ ใส่บิกินี่ ใส่ได้ก็ใส่

เมื่อ ก่อนมีทรงกางเกงในน้อย ไม่ได้มีตัวเลือกมาก ยังไม่มีใครออกมาทำเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ แต่ตอนนี้เริ่มมีคนทำออกมามากขึ้น ตัวเลือกมากขึ้น แต่ละแบรนด์ก็จะทำทรงของตัวเอง เพื่อจะมาจับกลุ่มลูกค้า”

แบบที่สอง: ฮาล์ฟบรีฟ
-ของเค้าแรง มาดสปอร์ต ใส่แล้วรัด ล็อกสุดๆ


กางเกงในทรงฮาล์ฟบรีฟ กำลังอินเทรนด์ มาแรงฮิตกระจายในหมู่ชายไทยเลยทีเดียว ใส่แล้วสบายลูกชายหายห่วง กูรูบู้เปิดเผยว่า

“ทรง นี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบสวมใส่แบบสบายๆ ใส่ได้ตลอดเวลา ตอนนี้รุ่นนี้กำลังขายดี เพราะเหมือนกับกำลังจะเข้ามาแทนที่กลุ่มบิกินี่มากกว่า คือ ราคาแพงขึ้นนิดหน่อย แต่คนก็จะยอมซื้อความสบายมากกว่า ได้ทุกวัยเหมือนกัน แต่คนที่ซื้อจะเป็นช่วงอายุ 20 ปลายๆ ถึง 30 ปีขึ้นไป จะใส่รุ่นนี้เยอะเลย ใส่แล้วมันรัด ล็อกเข้าไปเลย”

ทว่า ขอสงวนสิทธิ์ความฮอตฮิตไว้แค่หนุ่มหุ่นจุ๋มจิ๋มเท่านั้นน่ะ ร่างใหญ่เจ้าเนื้อ ไขมันปลิ้น ..ไม่สามารถค่ะ

“ตอน นี้กางเกงในมีหลายทรงมากขึ้น ถ้าคนที่อ้วนมากๆ เขาจะไม่ใส่พวกทรงฮาล์ฟบรีฟน่ะ บางคนไม่ใส่น่ะ หนีไปใส่บ็อกเซอร์เลย เพราะเขาอ้วนไง ใส่ฮาล์ฟบรีฟก็อึดอัดน่ะ

แต่ทรงฮาล์ฟบรีฟนี้เหมาะกับการเล่นกีฬา ทรงออกสปอร์ต เหมือนพวกแทงก้า (Tanga) แนะนำให้ใส่ สองทรงนี้ไปเล่นกีฬา เพราะโอบกระชับแนบเนื้อดีครับ”

แบบที่สาม: แทงก้า
-เอ็กซ์ เซ็กซ์ เว้าหน้าขา เก้งกวางชอบอกชอบใจ


ทรงเปิดหน้าขาแทงก้า แต่ กล้าแทงป่าวไม่รู้น่ะ แหม ใส่แล้วมันเอ็กซ์โอ้ลัลล้าเย้ายวนน่าจ๊วบเหลือเกิ้น สมาคมชาวเกย์ ไม่ว่าจะเป็นพี่คิง ควีน ไบ โบท น่าจะปลื้มกันทุกนาง

“รุ่นเว้า เปิดหน้าขา รุ่นนี้จะเหมาะสำหรับคนที่กล้าน่ะ คือ จริงๆ พวกเกย์จะชอบรุ่นนี้นะ เพราะมันเอ็กซ์ดี”

แต่จุดประสงค์แท้จริงนั้น กูรูบู้บอกว่า ต้องการแก้ปัญหาของคนที่มีหน้าขาใหญ่

“พวก ผู้ชายที่กล้ามเนื้อขาเยอะ ช่วงขาบนใหญ่ ไม่ว่าเขาจะใส่กางเกงในรุ่นไหน จะเป็นขอบผ้า หรือขอบยาง จะแพ้เป็นผื่นหมด ดังนั้นจึงต้องเปิดขาขึ้นมา ไม่ให้โดนเนื้อนั่นเอง

พวกชอบโชว์ของ หรือต้องการใส่แล้วเร้าอารมณ์ผู้หญิงได้ดีสุดๆ ก็รุ่นแทงก้าเลย”

แทงก้าตอบโจทย์ผู้ชายเจ้าเนื้อ นักกล้ามที่ขาใหญ่ล่ำได้ดี เริ่ดกว่าหนีขอบยางเจ็บจี๊ดไปใส่บ็อกเซอร์เยอะ

“หลังๆ มาคนหุ่นใหญ่หันมาซื้อรุ่นแทงก้าเยอะ เพราะเขาไม่มีกางเกงในใส่ไง ซื้อเลย XL เพราะบางคนก็หนีไปใส่บ็อกเซอร์เลย ทนการเสียดสีจากขอบยาง ขอบผ้า ที่หน้าขาไม่ไหว

แต่ ยังไงก็ถือว่ายังเป็นกลุ่มค่อนข้างเล็ก ที่ไม่เกี่ยงราคา ตัวเลขสูงเท่าไหร่เขาก็ยอมจ่าย เพราะเขาหาชุดชั้นในใส่ยากไง เขาไม่อยากไปใส่กางเกงขาสั้น เช่น พวกแขกตะวันออกกลาง พอเขาเจอปุ้บ ก็รีบกวาด(กางเกงใน)เลย”

แบบที่สี่: บ็อกเซอร์
-ไม่เจ็บไข่ ไม่แสบหน้าขา อยู่เหนือการควบคุมใดๆ


หากท่านชายคนใดไม่ผวาไส้เลื่อน ไม่หวั่นท่อนเอ็นตีขาแตก อยู่บ้านนอนแบอ้าตากพัดลมชิวๆ ไล่กลิ่นเหม็นอับของลับก็ต้อง “บ็อกเซอร์” ถูกใจชายทุกไซส์ โดยเฉพาะหุ่นพี่เบิ้ม ไขมันทะลักยิ้มเลย

“บ็อกเซอร์นี่เดี๋ยวนี้วัยรุ่นนิยมใส่กันนะ เพราะบางคนใส่กางเกงเวลาถอดก็ง่ายไง ยังไงก็ยังใส่บ็อกเซอร์อยู่ ถอดได้ง่าย

กลับมาถึงบ้านก็ถอดกางเกง เหลือบ็อกเซอร์อยู่ใส่อยู่บ้าน หรือนอนแต่ถึงอย่างไร ผ้าพวกนี้ก็สบายนะ แนบเนื้อ”

แล้วแขนขาน้องชายไม่แกว่งไกว แล่บออกมาจ๊ะเอ๋โดนไส้เลื่อนเล่นงานเหรอคะกูรู

“มัน จะห้อยไหมเหรอ บางคนเขาชินไง แล้วแต่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไรอีก ถ้าเขาถูกเลี้ยงดูโดยใส่บ็อกเซอร์มาตั้งแต่เกิด เขาก็จะชิน เขาจะไม่เป็นไส้เลื่อน เพราะอะไรรู้ไหม เหมือนกับร่างกายเขาปรับตัวเอง คุ้นเคย แต่คนที่ไม่เคยใส่บ็อกเซอร์แล้วไปใส่ บางทีจะเขาเป็นไง เพราะมันถูกอุ้มมาตั้งแต่เด็ก วันดีคืนดีไม่ถูกอุ้มแล้ว มันจะเลื่อนเลย”

แบบสุดท้าย: จีสตริง
-เจ็บร่องก้นนิดส์ แต่ปลุกกำหนัดนักเชียว


ไม่ใช่กางเกงในเข้าวินหรอกค่ะ เพียงแต่เรียกกันว่า จีสตริง (G-string) เส้นเล็กๆ กระชับสอดรับเข้าง่ามก้น ตอบสนองผู้ชายชอบใส่กางเกงรัดรึงตึงเปรี๊ยะ หวั่นสื่อ หรือประชาชนเห็นขอบกกน. ซึ่งจะดูไม่งามนัก

กูรูบู้ย้ำว่า มีผู้ชายใส่ แต่น้อย ในอนาคตอาจแตกไลน์วางขายจีสตริงสู่ก้นผู้บริโภค

“พวก ผู้ชายบางคนเขาก็ใส่กันนะ แต่ยอมรับว่าเดี๋ยวนี้เทรนด์มันก็มา แต่คงไม่ได้ใส่ทุกวัน ก็เหมือนผู้หญิงแหล่ะ วันนี้ชั้นใส่กางเกงแบบนี้ ชั้นก็จะเลือกเลือกใส่กางเกงในจีสตริง เหมือนผู้ชายแหล่ะ บางคนใส่กางเกงรัดรูปเยอะๆ มันจะแนบเนื้อและเห็นขอบกางเกงใน หากใส่จีสตริงก็ไม่เห็นขอบ”

แน่นอน จีสตริงไม่ได้ใส่เสียดสีหนังก้นเป็นประจำ แล้วแต่โอกาสซะเป็นส่วนใหญ่

“แล้ว แต่โอกาสมากกว่าครับ ว่าจะใส่ไปทำกิจกรรมอะไร เช่น วันนี้ออกไปเล่นกีฬาก็จะใส่แทงก้า วันนี้เดินเที่ยวกับเพื่อนจะใส่บิกินี่ แต่พอจะมีอะไรกับแฟนก็ใส่จีสตริง อะไรแบบนี้เป็นต้น” กูรูบู้เสริมรายละเอียดวาระ และโอกาสของแต่ละทรงกางเกงใน


* เซียนแนะเลือกผ้า ต้องโปร่ง สบาย

“ต้องคอตตอน (Cotton ผ้าฝ้าย) เท่านั้น”

กูรูบู้ ย้ำเด็ดขาดการเลือกกางเกงในที่ดี และเหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศเมืองไทย ควรเลือกผ้าคอตตอน

“บ้าน เราเมืองร้อนควรใส่ผ้าคอตตอนเท่านั้น ผิวสัมผัสจะสบาย ห้ามใส่ผ้าอย่างอื่นเด็ดขาด เพราะว่า ของพวกนี้มันติดตัวเราตลอดเวลา พวกผ้าราคาถูกๆ จะเป็นพวกโพลีเอสเตอร์ (Polyester) ใยสังเคราะห์ แต่บางคนเขาไม่ใส่ใจ ก็จะซื้อ”

งั้นพวกพวกกางเกงในสามตัวร้อยคงอยู่ในข่ายนี้ชิมิ

“ส่วน ขอบกางเกงในที่ดีควรเป็นขอบผ้าในตัว เพราะจะเป็นผ้าทั้งหมด จริงๆ แล้วไม่ควรที่จะมีอะไรที่เป็นใยสังเคราะห์มาโดนตัว สัมผัสกับผิวหนังตลอดเวลา

เดี๋ยวนี้มีผ้าพวกสแปนเด็กซ์ (Spandex) ซึ่งเป็นโพลีฯ สังเคราะห์ ทำให้ผ้ามีความยืดหยุ่นมากขึ้น กระชับขึ้น ได้ความบางของเนื้อผ้า

เมื่อ ก่อนเทคโนโลยียางยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ไง คนจะไม่ค่อยชอบเป็นยาง ..จะกลัว ..เพราะอะไร เขาบอกว่ามันดูดเลือด ยิ่งคนมีหน้าท้องเยอะๆ มันจะกดเป็นรอย ไม่เอาเลย แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีใหม่ๆ มันเข้ามาทำให้ผิวสัมผัสของยางมันดีมากขึ้น เพราะฉะนั้นปัญหาพวกนี้จึงไม่ค่อยเกิด เลือกวัสดุที่ใช้ค่อนข้างดีหน่อย”

ยุคไฮเทค ใยผ้าไลครา (Lycra) เสกก้นห้อยยกกระชับได้

“เมื่อ ก่อนจะมีแต่ผ้าคอตตอนอย่างเดียว เหมือนกับพวกทรงบิกินีทั่วไป เป็นเรียบๆ มันจะใช้จุดที่รัด คือ ขอบยาง ยางเอว กับยางขา จุดที่มันรัดรูป แต่เดี๋ยวนี้จุดที่ทำให้มันเข้ารูปได้ ก็คือ ผ้าด้วย คือเป็นคอตตอนผสมสเเปนเด็กซ์ และไลครา เข้าไปในใยผ้าด้วย ช่วยยกกระชับ เก็บก้นได้ เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิด

เริ่ม จากคนเคยชินจากคอตตอนก็จะเริ่มมาใช้มากขึ้น แต่คนต่างประเทศเขาจะรู้จัก พอจับแล้ว ผิวสัมผัสต่างๆ จะไม่เหมือนกัน ใส่แล้วสบายกว่า ใยผ้าเวลาผสมแล้วแต่จะใส่ 3% 5% 7% หรือ 9% ผสมกับคอตตอนอีกกว่า 90% อะไรประมาณนี้ เส้นใยที่ใส่จะเส้นเล็กลง เพื่อให้มันบาง และเข้ารูป”

ไหนๆ ก็ไหนๆ กูรูบู้ขอพาดพิงเตือนสาวๆ ทั้งหลายที่โปรดปรานการใส่ กกน.ผ้าโพลีฯ มัน ลื่น เข้าใจว่าซักง่าย แต่เสี่ยงไฟฟ้าสถิตย์ เชื้อราบุกลอดถ้ำอันเร้นลับนะจ๊ะ

“พวกผู้หญิงจะชอบใส่พวกผ้าโพลีฯ ที่ผิวสัมผัสมันๆ ลื่นๆ เพราะเข้าใจว่าซักง่าย ซึ่งเท่าที่ผมทราบมา ผ้าพวกนี้มันทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตย์

ร่าง กายมันเหมือนไฟฟ้าช็อต สปาร์ก (spark) ทั้งวัน นอกจากนี้จะสร้างพวกเม็ดขาวๆ หรือพวกเชื้อราขึ้นมาน่ะ ลองเปลี่ยนไปใส่คอตตอนซิ จะช่วยซับเหงื่อ ระบายอากาศได้ดีทีเดียว พวกผ้าโพลีฯไม่ดีหรอก เพราะไม่ระบายอากาศ แถมร้อน ไม่ซับเหงื่อ จึงเป็นที่มาของโรคต่างๆ อย่างเชื้อราในร่มผ้าไงครับ”

* 3 สีอมตะ ส่วนขอบแล้วแต่ชอบ

“ขาว เทา ดำ หากใครชอบขาว กี่ปีก็จะขาวอย่างเดียว ส่วนคนที่ไม่นิยมขาวก็จะเอาสีที่ดำไปเลย หรือเทาไปเลย” กูรูบู้เผยว่า ผู้ชายส่วนใหญ่ฮิตๆ อยู่ 3 สีนี้แหละ


“เน้น พวกโทนสีเข้มๆ เพราะผู้ชายเขาจะมีปัญหาเรื่องเหลืองบ้าง หรือดูเก่า หรือไม่เข้ม ก็ขาวเลย พวกสีครีม ฟ้า สีอ่อนๆ ไม่ค่อยมีนะ แดงก็มี แต่ต้องแดงเลือดหมู”

อ๋อ ผู้ชายชอบสีดิบ ดุ ดัน ไม่โปรดสีสันหวือหวา ชอบสีไหนสีนั้น รักเดียวใจเดียวนั่นเอง(หมายถึงกางเกงในน่ะไม่ใช่แฟน ฮึ) แต่แอบเล่นสีตรงขอบเท่านั้นเอง

“ผู้ชาย ชอบใส่สีไหนก็สีนั้น ที่ร้านถึงทำแค่ขาว เทา ดำ จะเปลี่ยนก็แค่ขอบกางเกงในให้เป็นสีๆ แรกๆ คิดเหมือนกันว่า ผู้ชายไม่กล้าใส่แน่เลย แต่ปรากฏว่าออกไปแล้วขายดี คือ คนซ่อนเร้นเยอะไง แฟชั่นเอวต่ำอินเทรนด์ไง ผู้ชายบางคนเลยต้องการโชว์ขอบ ให้เห็นขอบกางเกงในนิดๆ นั่นคือ เขาเจตนาโชว์ขอบอยู่แล้ว”

:: ถนอมกกน.ไม่ให้ย้วย ม้วยก่อนเวลา

กูรูบู้ออกปากห้ามหลังจากถอดกกน.ม้วนเป็นเลขแปดแล้ว ห้ามเขวี้ยงลงเครื่องซักผ้า หรือแปดเปื้อนโดนผงซักฟอก เพราะเส้นใยจะพังป่นปี้ ทำกางเกงในไร้สมรรถภาพการใช้งาน

“จริงๆ แล้ว ไม่ควรซักโดยใช้ผงซักฟอกนะ ใช้น้ำยาซักผ้าอ่อนๆ จะดีกว่า เราควรถนอมผ้า หากใช้พวกผงซักฟอกจะทำปฏิกิริยากัดใยผ้า ทำให้โครงสร้างของเส้นใยหงิก งอ เพราะเส้นใยจะเล็กมาก ต่างจากพวกพวกเสื้อผ้า”

ถ้างั้น คุณภรรเมียทั้งหลายต้องเปลี่ยนวิธีซักกกน.ให้คุณสามีแล้วล่ะค่ะ แทนที่จะโยนเข้าเครื่องซักผ้า ต้องยอมแบ่งน้ำยาซักชุดใน(ที่ผู้หญิงเราใช้เฉพาะ เป็นประจำ) แช่ซักมือให้คุณเขาหน่อยนะ เพื่อการคงคุณภาพกางเกงใน ใช้ได้นานๆ ประหยัดระยะยาวไงล่ะคะ

“และอายุการใช้งานกางเกงในไม่ควรเกิน 3 เดือน ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะเส้นใยของพวกนี้ถูกใช้ ถูกซัก ถูกเคมี แล้วใส่ทุกวันโดนน้ำ โดนเหงื่อ มันจึงหมดอายุเร็ว”

คุณบู้ว่าตามหลักการเพราะผู้ชายมักมีน้ำอันไม่พึงประสงค์ ไหนจะต้องซักบ่อย คือ โดนสารเคมีหลายอย่าง พอเส้นใยตายมันก็เสียทรง ขอบยางไม่กระชับ

“แต่บางคนเคยชินกับความยืดความบางของกางเกงใน เขาก็จะชอบตัวเก่าๆ ของเขา เพราะมันไม่อึดอัดเหมือนของใหม่ แต่จริงๆแล้ว ควรเปลี่ยน ยิ่งบางคนเอาไปปั่นเครื่องซักฯยิ่งไปกันใหญ่”

ขนาด ผู้ชายยัง 3 เดือนเปลี่ยนกกน.ที เพราะมีสารพัดขี้ ทั้งขี้เปียก ขี้เกลือ ขี้ไคล หมักหมมสะสมเป็นคราบเหลืองเกรอะกรัง แถมเหม็นโฉ่ ผลที่ตามจึงต้องซักบ่อย งี้ ผู้หญิงอย่างเรามิต้องเปลี่ยนทุกเดือนเลยชิมิ (แอบงกค่า กกน.) ทั้งตกขาว โรคช้ำรั่ว หูรูดเสื่อมฉี่เล็ด ไหนจะประจำเดือน แถมน้ำคาวปลาอีก เฮ้ออ..

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

“โยเกิร์ต” ให้ประโยชน์มากกว่าที่คิด!?

ของโปรดของสาวๆ “โยเกิร์ต” ให้ประโยชน์มากกว่าที่คิด!?

ป็นที่รู้จัก และคุ้นเคยกันมานาน สำหรับ โยเกิร์ต (Yoghurt) อาหาร เพื่อสุขภาพอีกอย่าง ที่สาวเรานิยมรับประทานกันนัก เพราะนอกจากจะมีรสชาติอร่อยลิ้นแล้ว ยังเชื่อกันว่าเป็นอาหารที่กินแล้วจะอายุยืนด้วยล่ะ

ความ เชื่อนี้สืบทอดกันมาจากชนเผ่า ทราเซียน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวบัลแกเรีย โดยชนเผ่านี้นิยมเอาน้ำนมใส่ไว้ในถุงที่ทำด้วยหนังแกะ คาดไว้ที่เอว เพื่อตุนไว้กินระหว่างออกไปเลี้ยงแกะ หรือทำงานในทุ่ง ทว่าการพกนมไว้ที่เอวนั้น ความร้อนจากร่างกายได้ส่งผลให้อุณหภูมิของนมสูงขึ้น เมื่ออุณหภูมิของนมเริ่มอุ่นๆ และไปผสมกับเชื้อจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในหนังแกะ ไปๆ มาๆ ก็เลยกลายเป็นนมที่มีลักษณะข้นๆ กึ่งแข็ง กึ่งเหลว แถมมีรสเปรี้ยวคล้ายบูดเน่า แต่พอกินเข้าไปแทนที่จะท้องเสีย ดั๊นมีสุขภาพดีขึ้นซะอีก ชาวบัลแกเรียจึงนิยมกิน และมีความเชื่อเรื่องกินโยเกิร์ตแล้วสุขภาพดี อายุยืนกันมาเนิ่นนาน


แต่ สาวยุคใหม่หลายคน อาจยังสงสัยว่า จริงๆ แล้วเรื่องกินโยเกิร์ตแล้วอายุยืน จะเป็นเรื่องจริงมั้ย แค่อิงนิยายหรือเปล่า เมื่อสบโอกาสได้พบกับ รศ.พญ. นลินี จงวิริยพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ จากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ในงานเปิดตัวแคมเปญใหม่ของโยเกิร์ตแอคทีเวีย อาจารย์หมอได้นำความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการกินโยเกิร์ต มาบรรยายให้สาวๆ ที่กำลังสงสัย ในเรื่องนี้หายคับข้องใจไปเลยค่ะ

โยเกิร์ตคืออะไร ..เหมือนกับนมเปรี้ยวมั้ย?

คุณ หมอนลิณีกล่าวว่า ทั้งโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักนม โดยมีการเติมเชื้อจุลินทรีย์ลงไป ซึ่งโยเกิร์ตแบ่งได้ 2 ประเภท คือ โยเกิร์ตชนิดครีม (Cream Yoghurt) นั่นคือโยเกิร์ตแบบเป็นถ้วยที่มีลักษณะเหลว ต้องใช้ช้อนตักทาน และโยเกิร์ตพร้อมดื่ม (Drinking Yoghurt) หรือนมเปรี้ยวที่มีลักษณะเป็นน้ำนมเหลวที่บรรจุในกล่อง หรือขวด

“โยเกิร์ต ก็คือ นมเปรี้ยวชนิดหนึ่งค่ะ เป็นนมเปรี้ยวที่ผ่านการฆ่าเชื้อ จุลินทรีย์ที่เป็นโรคถูกกำจัดไปหมดแล้ว นมชนิดนี้ได้รับการหมักโดยเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นอันตราย ที่ต้องเน้นว่าจุลินทรีย์ ไม่เป็นอันตราย เพราะถ้าพูดถึงจุลินทรีย์ เราจะรู้จักทั้งจุลินทรีย์ที่ก่อโทษ และจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ในกระบวนการผลิตโยเกิร์ตนั้น เราจะใช้เฉพาะจุลินทรีย์ที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น”

ท้องผูก-ท้องเสีย ..โยเกิร์ตช่วยได้

อาจารย์ หมอใจดีบอกถึงประโยชน์เด่นของโยเกิร์ตว่า เป็นพระเอกในเรื่องการสร้างสมดุลของระบบขับถ่ายค่ะ เพราะการรับประทานโยเกิร์ตอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดปัญหาเรื่องท้องผูก ท้องเสียได้เป็นอย่างดี

“ประโยชน์ ที่จะได้จากโยเกิร์ตก็คือ การปรับสมดุลร่างกาย คือช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย ลดปัญหาเรื่องท้องอืด อึดอัด แน่นท้องไม่สบายท้อง ซึ่งในคนที่มีปัญหาท้องผูกก็จะช่วยได้ เพราะว่าโยเกิร์ตจะมีจุลินทรีย์ที่ดี ที่ช่วยในเรื่องการทำงานของลำไส้ ทำให้ระบบดูดซึมมีประสิทธิภาพมากขึ้น การขับถ่ายก็จะดีขึ้น

ส่วน คนที่มีปัญหาท้องเสียบ่อยๆ ก็รับประทานโยเกิร์ตได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะยิ่งเป็นการเพิ่มอาการท้องเสีย เพราะจุลินทรีย์ที่อยู่ในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์สุขภาพ ซึ่งจะช่วยยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดไม่ดี และเพิ่มภูมิต้านทานให้ระบบย่อยในลำไส้ เมื่อลำไส้แข็งแรง โอกาสที่เชื้อโรคจากภายนอกเข้าไปแล้วจะก่อให้เกิดท้องเสียก็น้อยลง”

ดื่มนมแล้วท้องอืด ท้องเดิน ..ต้องลอง “โยเกิร์ต”

กรณีคนที่ดื่มนม หรือกินอาหารที่ทำจากนมแล้วท้องอืด ท้องเสีย จนเป็นปัญหาทรมานกาย ทรมานใจ บางคนถึงกับต้องเลิกดื่มนมกันไปเลย ซึ่งไม่เป็นผลดีอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ร่างกายขาดแคลเซียมส่งผลให้เป็นโรคกระดูกได้ง่ายๆ คุณหมอจึงแนะนำว่า หากมีปัญหาเหล่านี้ให้ลองรับประทานโยเกิร์ตดูค่ะ

“หลาย ท่านมีปัญหาว่าพอดื่มนม หรือรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น เนย ชีส แล้วจะท้องอืด ท้องเสีย อันนั้นเกิดจากการที่ลำไส้ใหญ่ผลิตน้ำย่อยที่ชื่อว่าแลคเตส (Lactase) น้อยเกินไป ทำให้ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตส (Lactose Intolerance) ซึ่งเป็นน้ำตาลที่อยู่ในนมได้ เมื่อย่อยน้ำตาลในนมไม่ได้ จึงทำให้เกิดภาวะ มีแก๊สในท้อง ปวดท้อง ท้องอืด และท้องเสีย

ภาวะ นี้พบได้ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ จะมีปัญหานี้กันมาก เพราะร่างกายชาวเอเชียจะเป็นแบบนี้ เมื่ออายุเยอะขึ้น ลำไส้ใหญ่จะผลิตน้ำย่อยแลคเตส ได้น้อยลง ซึ่งเป็นไปตามพันธุ์กรรม และไลฟ์สไตล์การทานอาหาร ที่ชาวยุโรปจะชินกับการทานอาหารประเภทนม แต่ในประเทศเราส่วนใหญ่ มักรับประทานนมตอนเด็กๆ เท่านั้นพอโตมาก็เลิกทาน จึงเป็นอีกส่วนที่ทำให้พออายุเยอะขึ้น ร่างกายจะไม่ค่อยผลิตน้ำย่อยแลคเตส ไว้ย่อยน้ำตาลที่มีอยู่ในนม”

เมื่อ ถามว่าตัวช่วยในการสร้างเอนไซม์แลคเตสนี้ สามารถหาได้จากที่ไหนบ้าง คุณหมอนลินีตอบเสียงดังฟังชัดว่า หาได้จากในอาหารประเภทโยเกิร์ตนี่แหละค่ะ

“ตัว ช่วยสร้างเอนไซม์แลคเตสนี้ ในต่างประเทศจะมียาที่ช่วยเพิ่มน้ำย่อยตัวนี้ แต่ในเมืองไทย เท่าที่ทราบยังไม่มียาประเภทนี้จำหน่าย ดังนั้นการจะช่วยสร้างน้ำย่อยตัวนี้ ต้องอาศัยเชื้อจุลินทรีย์จากโยเกิร์ตอย่างเดียวเลยก็ว่าได้ เพราะในอาหารประเภทอื่นจะไม่มีเชื้อจุลินทรีย์ที่ช่วยสร้างเอนไซม์แลคเตสนี้ อยู่”

กินโยเกิร์ตยังไง ให้ถูกวิธี?

“ถ้า ถามว่าต้องทานบ่อยแค่ไหน คงต้องตอบว่า ถ้าทานได้ทุกวันก็จะดี คือ ต้องบอกว่าโยเกิร์ตเป็นอาหาร ไม่ใช่ยา ดังนั้นคงไม่ใช่ว่ากินวันสองวันเห็นผลทันตา เหมือนอย่างเป็นไข้ ทานยาแก้ไข้ก็หาย ก็คงไม่ใช่ เพราะมันต้องใช้เวลา และระยะเวลาในการทานก็ต้องมีความต่อเนื่องด้วย ไม่ใช่กินแค่สองสามวันแล้วก็หยุด อันนั้นก็อาจจะไม่ได้เห็นผลเรื่องการช่วยให้ระบบขับถ่ายดี”

สำหรับวิธีการการรับประทานโยเกิร์ตที่ดีต่อสุขภาพ คุณหมอแนะนำให้เลือกรับประทานโยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์โปรไบโอติก (Probiotics) หรือจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งสังเกตได้จากข้อความที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์ ปริมาณในการรับประทาน คืออย่างน้อย 1 ถ้วย ระยะเวลาติดต่อกัน 14 วันขึ้นไป จึงจะเห็นผล

“ถ้า กรณีปกติที่ร่างกายเราไม่เป็นอะไรเลย จะสามารถทานได้หรือไม่ คำตอบคือ ได้ค่ะ เพราะโยเกิร์ตคืออาหาร เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ จุลินทรีย์ที่มีอยู่ ไม่ทำให้เกิดโทษแน่นอน แถมยังจะช่วยเรื่องสมดุลร่างกาย ช่วยเรื่องภูมิต้านทาน ลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ อย่างเช่นเวลาเราไปกินอาหารที่ อาจจะไม่ระมัดระวัง พลาดไปทานอาหารไม่สะอาด จุลินทรีย์ที่ดีๆ พวกนี้ ก็จะช่วยลดปัญหาความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพได้”

สาเหตุที่โยเกิร์ต เหมาะกับสาวๆ เป็นที่สุด

โยเกิร์ต นั้นเหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะคุณสาวๆ ทั้งหลาย เนื่องจากผู้หญิงเราต้องได้รับปริมาณแคลเซียมที่เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรง มิฉะนั้นเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือน มวลกระดูกของเราจะผุกร่อนเกิดเป็นโรคกระดูกผุได้ง่ายๆ ดังนั้นคุณหมอจึงแนะนำว่า หากสาวคนไหนทานนมตอนเช้าไม่ได้ ก็ให้ทานโยเกิร์ตก่อนในตอนเช้า แล้วช่วงเที่ยง หรือค่ำ ค่อยรับประทานนมสดเสริมแคลเซียมอีกก็ได้ค่ะ

“ใน โยเกิร์ตมีแคลเซียมไม่เท่านม ดังนั้นถ้าถามว่าทานโยเกิร์ตหนึ่งถ้วย จะได้ปริมาณแคลเซียมเท่ากับทานนมในปริมาณหนึ่งถ้วยด้วยมั้ย ก็คงไม่เท่า แต่ก็ถือว่าเป็นอีกทางที่ทำให้ได้รับแคลเซียม และอย่างที่กล่าวไปแล้วว่าโยเกิร์ต ช่วยให้ลำไส้ ย่อยน้ำตาลที่มีในนมได้ ดังนั้นการทานโยเกิร์ตจึงเป็นอีกทาง ที่สร้างสมดุลให้ลำไส้ พร้อมที่จะรับประทานนมได้ง่ายขึ้น”

อีก สาเหตุที่โยเกิร์ตเหมาะกับสาวๆ คือ เรื่องความงามค่ะ แม้อาจารย์หมอนลินี จะบอกว่าเราไม่ได้กินโยเกิร์ตเพื่อให้สวย แต่นั่นก็เป็นผลพลอยได้ส่วนหนึ่งค่ะ

“ประโยชน์ ของโยเกิร์ตสำหรับผู้หญิงนั้น คงต้องบอกว่าไม่ใช่ว่าเราจะกินโยเกิร์ตเพื่อให้สวยนะคะ มันเป็นประโยชน์ทางอ้อมมากกว่า เพราะโยเกิร์ตช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายให้ทำงานเป็นปกติ ดังนั้นถ้าระบบขับถ่ายเราดี สุขภาพก็จะดี ผิวพรรณก็จะผ่องใสตามมาค่ะ”

::ข้อคำนึง ก่อนเลือกซื้อโยเกิร์ต

- ไม่ควรลืมเด็ดขาด ที่จะสำรวจดูวันหมดอายุ ที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์

- บรรจุภัณฑ์ ต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่ขาด ไม่รั่ว หรือบุบ หากมีสภาพไม่ดีก็อย่าเสี่ยงซื้อเพราะรอยตำหนิเหล่านั้นอาจส่งผลต่อคุณภาพของ โยเกิร์ตที่อยู่ภายในได้

- หากเป็นโยเกิร์ตชนิดครีม ก่อนทานต้องพิจารณาดูว่ามีลักษณะข้น ไม่แยกชั้นระหว่างน้ำกับนม
หากเป็นโยเกิร์ตพร้อมดื่ม (นมเปรี้ยวแบบขวด) ต้องไม่มีตะกอนที่ก้นขวด

- แม้จะยังไม่หมดอายุ แต่ก่อนทานควรมีการสำรวจว่าผิดสี ผิดกลิ่นไปจากเดิมหรือไม่ เพราะบางครั้งอาจเกิดการผิดพลาดที่ร้านค้า เก็บไว้ในอุณหภูมิไม่เหมาะสม จนทำให้โยเกิร์ตบูดเน่าก่อนวันหมดอายุที่ระบุไว้ที่บรรจุภัณฑ์ก็เป็นได้

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

ทางออก (ที่ไม่ต้องแยกห้อง) เมื่อคู่รักนอนดิ้น นอนกรน

ทางออก (ที่ไม่ต้องแยกห้อง) เมื่อคู่รักนอนดิ้น นอนกรน

การได้นอนหลับในอ้อมกอดคู่รัก ถือเป็นความสุขที่สำคัญอีกอย่างชีวิตคู่! เป็นเรื่องที่ทราบกันดี แต่พอเอาเข้าจริงๆ หลายคู่มีปัญหา… สามีบางคนนอนกรน ภรรยาบางคนนอนดิ้น ฯลฯ จนคุณที่นอนข้างๆ ต้องตื่นไปด้วย รวมไปถึงเหตุผลร้อยแปด ซึ่งท้ายที่สุดแล้วคู่สามีภรรยาจำนวนไม่น้อย เลือกที่จะนอนกันคนละห้อง เพื่อหวังได้หลับสนิทตลอดทั้งคืน

หาก คุณคือ หนึ่งในคู่รักที่กำลังคิดเช่นนั้น ช้าก่อนค่ะ! อย่าเพิ่งด่วนแก้ปัญหาด้วยวิธีแยกห้องกันนอน เพราะเมื่อไม่นานมานี้ มีบทความทางวิชาการชิ้นหนึ่งซึ่งพิมพ์ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ ได้ออกมาตีแผ่วิธีแก้ปัญหานี้ว่า เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

เนื้อหา ในบทความระบุว่า ปัจจุบันมีคู่รักชาวเมริกันถึง 1 ใน 4 ที่แยกห้องนอนกันแล้ว ขณะที่สมาคมรับสร้างบ้านแห่งสหรัฐอเมริกา ก็ออกมาให้ข้อมูลสมทบว่า ทุกวันนี้มีผู้คนจำนวนมากจ้างให้สร้างบ้าน ที่มีห้องนอนแยกย่อยมากขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ คู่สามีภรรยามีการวางแผนแยกห้องนอนกันเพิ่มขึ้น จนมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2015 จะมีคู่แต่งงานแยกห้องกันนอนมากถึง 60% เลยทีเดียว


รายงาน ระบุว่า ผู้คนส่วนใหญ่ตัดสินใจแยกห้องนอนกับคู่รัก เพราะเชื่อว่า การต้องทนนอนข้างคู่รักที่กรน หรือนอนพลิกตัวไปมา จะทำให้ตัวเองนอนได้ไม่เต็มอิ่ม และเป็นเรื่องที่ทำลายสุขภาพของในระยะยาว ทว่าศาสตราจารย์ Tina B. Tessina นักจิตบำบัด ยืนยันว่าการแก้ปัญหาเรื่องการนอน โดยวิธีแยกห้องนอน ไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะแท้จริงแล้ว มีวิธีแก้แบบอื่นที่ดีกว่านั้น

“มัน จริงที่ว่า การนอนกรนมีส่วนสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคู่รักกลายเป็นความรำคาญ หรือรู้สึกไม่ดีต่อกันได้ แต่สิ่งเหล่านี้มันง่ายมากที่จะหลีกเลี่ยง และหาทางแก้ไข นั่นคือ ถ้าคนใดคนหนึ่งกรน อีกฝ่ายไม่ควรพูดจำตำหนิติเตียนหรือแยกห้องนอนไปเลย แต่ควรร่วมกันหาทางแก้ เช่น การเปลี่ยนไปใช้ ผ้าห่ม หมอน หรือผ้าปูที่นอนนุ่มๆ ซึ่งจะช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น และลดอาการกรนได้”

ที่รักจ๋า มานอนห้องเดียวกันเถอะ!

เมื่อแสดงปณิธานแน่ชัดในการสนับสนุน ให้คู่สามีภรรยานอนห้องเดียวกันซะขนาดนี้ ศาสตราจารย์ Tessina เลยนำเกร็ดดีๆ ที่ระบุถึงประโยชน์ของการนอนด้วยกันมาโน้มน้าวใจ ให้คุณๆ ใจอ่อน จะได้ไม่ทำร้ายคู่รักของคุณด้วยการ แยกห้องนอนกับเขาค่ะ

* มีเซ็กซ์ก่อนนอน ลดอาการกรน มีผลงานวิจัยพบว่า การมีเซ็กซ์กับสามีก่อนนอนนั้น จะทำให้ผู้หญิงเรากรนน้อยลง ขณะที่ในผู้ชายนั้น อาการนอนกรนของเขาก็จะดีขึ้น เมื่อได้นอนข้างๆ ภรรยา เรียกได้ว่า การมีเซ็กซ์ ล้วนอนหลับไปด้วยกันจะทำให้อาการนอนกรนของคุณทั้งคู่ดีขึ้นแน่นอน

* เวลาในห้องนอนคือ เวลาทองแห่งความเข้าใจ นักจิตบำบัด Tessina บอกไว้ว่า “การกอดกันอย่างแนบแน่น แล้วนิ่งไว้ซักพัก คือ สิ่งดีเยี่ยม ที่จะทำให้ชีวิตคู่มั่นคงขึ้น นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทุกคู่รู้ แต่ไม่ค่อยจะทำ อาจเพราะเขินอาย”

ดังนั้นเมื่อคุณได้นอนด้วยกัน จึงเป็นเสมือนเวลาทองอันมีค่าที่คุณจะได้อยู่กันสองต่อสอง ไม่ต้องแคร์สายตาใคร จึงควรใช้ช่วงเวลานี้ให้คุ้ม ที่สำคัญ การได้กลับมาถึงห้องนอนแล้วพบว่ามีใครสักคนอยู่ข้างๆ ให้พูดคุย หยอกล้อ หนุนตักให้หายเหนื่อย มันย่อมสุขใจ และโรแมนติก กว่าการมาถึงเตียงแล้วพบแต่ความว่างเปล่าไร้คนข้างกายเป็นไหนๆ

แต่ สิ่งที่ต้องจำใส่ใจก็คือ การจะทำให้การนอนร่วมกันของคุณและคู่รักเป็นไปอย่างราบรื่น ก็คือต้องท่องไว้เสมอว่า เวลาอยู่ในห้องนอนแสนสุขนี้ ควรจะคุยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของคุณสองคนเท่านั้นนะคะ ไม่ควรจะพูดเรื่องงานเงิน ค่าใช้จ่าย หมา แมว ละครหลังข่าว หรือซุบซิบคนข้างบ้านเวลานี้เด็ดขาด เพราะนอกจากจะทำให้บรรยากาศโรแมนติกหายเกลี้ยงแล้ว ยังอาจกลายเป็นเรื่องที่ฟังแล้วไม่เข้าหู พาลให้ทะเลาะกันก่อนนอนไปซะงั้น

* ห้องนอนคือ สถานที่ส่วนตัวที่มีค่าที่สุด เพราะห้องนอนเพราะเป็นสถานที่ซึ่งคุณจะได้ผ่อนคลาย เป็นตัวเองมากที่สุด ไม่ต้องแอ๊บ ไม่ต้องเก๊ก อยากจะเล่นกุ๊กกิ๊กกับคู่รักแค่ไหน ก็ไม่มีใครเห็น คุณจึงควรใช้สถานที่ส่วนตัวนี้ให้คุ้ม ด้วยการทำให้ห้องนอนไม่ใช่แค่ห้องที่มีไว้หลับเท่านั้น แต่ยังควรทำกิจกรรมรื่นรมณ์อื่นๆ ได้ด้วย เช่น การพูดคุยหยอกล้อ ปรับความเข้าใจกัน ไปจนถึงการมีเซ็กซ์...

สำหรับ ครอบครัวที่มีลูกน้อย ในห้องนอนของลูกๆ ควรจัดให้มีกิจกรรมผูกสัมพันธ์ เช่น เล่านิทาน หรือพูดคุยกับลูกก่อนนอน ก็จะช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับเด็ก และทำให้ครอบครัวของคุณมีความสุขเพิ่มขึ้นมากโขเชียวค่ะ

เมื่อ ครอบครัวมีความสุข ความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายก็ย่อมตามมา คู่รักที่กำลังคิดแยกห้องนอนกัน คงต้องชั่งน้ำหนักสักนิดนะคะ ว่าระหว่างแยกกันนอนเพื่อให้คุณหลับได้เต็มอิ่มแต่ขาดคนข้างกาย หรืออดทนหาทางแก้ไข (ทนนอนสะดุ้งไปก่อน) ทว่าอบอุ่นใจที่มีคนรักอยู่ข้างๆ ทางไหนจะเหมาะกับความต้องการของคู่คุณมากกว่ากัน... ?

เรียบเรียงจาก ไชน์
อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net