วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มีเซ็กซ์ ดียังไง?!

มีเซ็กซ์ ดียังไง?!



ที่ Marvin Gaye (นักร้องผิวหมึกผู้โด่งดัง เข้าของอันดับที่ 6 ของนักร้องที่เยี่ยมที่สุดตลอดกาลแห่งนิตยสารโรลลิ่งสโตน และยังติดอันดับ 18 ของการจัดอันดับ 100 ศิลปินที่เยี่ยมที่สุดตลอดกาล) ร้องเนื้อหาในเพลง “Sexual Healing” (เพลงนี้ได้รับรางวัลแกรมมี่ด้วย) นั่นเป็นเพียงความจริงครึ่งหนึ่ง!

การมีเพศสัมพันธ์ หรือชอบเรียกง่ายๆ ว่า เมคเลิฟ(make love) พูดชัดๆ ว่า มีเซ็กซ์(sex) นอกจากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ให้ความเพลิดเพลินอันยอดเยี่ยม และใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกันกับคู่ของคุณแล้ว การมีกิจกรรมบนเตียงยังช่วยเผาผลาญแคลอรี่(calories), ผ่อนคลายความตึงเครียด, และทำให้หลับง่าย

นั่นเป็นเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่ ซึ่งถือว่า ยังน้อยไป

เพราะจริงๆ แล้ว การมีเซ็กซ์กับคนที่คุณรักสามารถทำให้สุขภาพของคุณกับเขา/เธอแข็งแรงสมบูรณ์ขึ้นอีกเยอะเลย เรามีข้อมูลจากการทดลองวิจัยของมหาวิทยาลัยชั้นนำในอเมริกา-ยุโรปมาบอก…

เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

ถ้าคุณมีเซ็กซ์แบบปลอดภัยอย่างพอเหมาะพอควร คุณจะไม่ป่วย

ผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Wilkes ที่ฟิลาเดเฟีย พบว่า นักศึกษาผู้หมั่นกุ๊กกิ๊กกับแฟน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์จะมีระดับภูมิคุ้มกันA (IgA) สูงขึ้นอย่างชัดเจน ยังผลให้ร่างกายสามารถต่อต้านไข้หวัดธรรมดาตลอดจนไข้หวัดใหญ่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับนักศึกษาที่ไม่เคยมีเซ็กซ์หรือมีเซ็กซ์มากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์


บรรเทาอาการปวดต่างๆ

การกระตุ้นปากมดลูกทำให้เกิดความสามารถในการต่อต้านอาการปวดต่างๆ ทั้งนี้เนื่องจากการหลั่งสารความสุข หรือที่เราคุ้นเรียกว่า สารเอ็นโดรฟิน(Endorphins)

ดร.Beverly Whipple มหาวิทยาลัย New Jersey มีความเห็นพ้องตรงกับสองนักเขียนระดับด็อกเตอร์: Barry Komisaruk กับ Carlos Beyer-Flores ทั้งสองท่านเขียนในหนังสือ The Science of Orgasm (ศาสตร์แห่งการบรรลุจุดสุดยอด) ว่า

“เมื่อผู้หญิงได้รับการกระตุ้นจุด G-spot (จุดกระสัน) และถึงจุดสุดยอด อาการปวดสามารถได้รับการบรรเทาถึง 100% ขณะที่ผู้หญิงที่ได้รับกระตุ้นจุดกระสันแล้วมีความสุขสุดเสียว แม้ไม่ไคลแมกซ์(climax ก็หมายถึง บรรลุจุดสุดยอด) อาการปวดก็ได้รับการบรรเทาลง 80%”

นั่นหมายความว่า การเล้าโลมทางเพศ หรือแม้แต่การเล่นผีผ้าห่มกับคนรัก สามารถบรรเทาอาการปวดหัว, ปวดประจำเดือน, ปวดข้อ, รวมทั้งปวดเรื้อรัง …อาการปวดต่างๆ ทุเลาลงตั้งแต่เป็นเวลาหลายนาทีถึง 24 ชั่วโมงเชียวล่ะ

มีความสุขขึ้น ชีวิตยืนยาวขึ้น

ความกระตือรืนร้นในชีวิตทางเพศทำให้ชีวิตแต่งงานมีความสุขขึ้น อธิบายชัดๆ ก็คือ ความพึงพอใจทางเพศเชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตทั้งหมด และเพิ่มจิตสำนึกในความเป็นอยู่ที่ดีทั้งชายหญิงทุกช่วงวัย

สำหรับผู้ชาย มีผลให้ชีวิตยืนยาวขึ้นด้วยซ้ำ จากการศึกษาอย่างต่อเนื่อง 10 ปีของนักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Bristol ประเทศอังกฤษ ทำการตรวจสอบผู้ชายช่วงอายุระหว่าง 45 ถึง 59 ปีใน South Wales จำนวน 918 คน ในประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการถึงจุดสุดยอดบ่อยๆ กับความตาย ได้ผลสรุปว่า ผู้ชายที่ถึงจุดสุดยอดบ่อยๆ (สัปดาห์ละ 2 ครั้งหรือมากกว่า) เป็นเวลามากกว่า 10 ปี จะมีอัตราเสี่ยงต่อความตายต่ำกว่าผู้ชายที่บรรลุจุดสุดยอดน้อยกว่า 1 ครั้งต่อเดือน 50% แน่ะ

ผู้หญิงวัยทองซึ่งมีเซ็กซ์บ่อยๆ ประมาณเดือนละ 3 ครั้งหรือมากกว่า สามารถช่วยป้องกันภาวะช่องคลอดตีบและแห้ง เหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ ผู้หญิงที่มีกิจกรรมบนเตียงสม่ำเสมอทำให้มีการไหลเวียนของเอสโตรเจน (Estrogen เป็นฮอร์โมนของผู้หญิง) ภายในทั่วร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น แล้วมันก็ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อภายในช่องคลอด ไงล่ะ

ส่วนผู้ชายที่ชักว่าวบ่อยๆ ไม่เพียงแต่เชื่อมโยงกับหน้าที่ทางเพศที่ดีขึ้นตามวัยแล้ว ยังลดภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย ในการศึกษาของนักวิจัยแห่งสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบว่า ผู้ชายที่ช่วยตัวเองให้สำเร็จความใคร่เดือนละ 21 ครั้งหรือมากกว่า จะมีอัตราเสี่ยงต่อการพัฒนามะเร็งต่อมลูกหมากต่ำลง 33% เมื่อเทียบกับชายที่หัตถกามกิริยาเพียงเดือนละ 4-7 ครั้ง

กระตุ้นฮอร์โมน

ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ (ช่วงไม่มีประจำเดือน) มีแนวโน้มรอบเดือนมาอย่างสม่ำเสมอขึ้น, อุณหภูมิร่างกายปกติขึ้น, และระดับเอสโตรเจนก็สูงขึ้นกว่าสาวๆ ที่ไม่ค่อยมีเซ็กซ์

ดร.Winnifred Cutler ผู้ก่อตั้งสถาบัน Athena เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของผู้หญิงในฟิลาเดเฟีย กล่าวว่า “ผู้หญิงผู้มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอทุกสัปดาห์จะมีน้ำมีนวลมากขึ้นและแก่ช้าลง” เมื่อก้าวเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน สาวใหญ่วัยทองเหล่านี้ก็จะมีอาการวูบวาบน้อยลง ความหนาแน่นของมวลกระดูกมากขึ้น แถมเส้นโลหิตแข็งแรง

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การทำรักกับคนเลิฟเป็นประจำ นอกจากทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งกายและใจด้วย




ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สุดยอดนิสัยขี้… ของผู้หญิง ที่ผู้ชายหน่ายหนี

สุดยอดนิสัยขี้… ของผู้หญิง ที่ผู้ชายหน่ายหนี



ด้วยนิสัยผู้หญิงมักจู้จี้จุกจิก คิดเล็กคิดน้อย เจ้านิสัยขี้งอน ขี้ใจน้อย ขี้หึง ขี้หวง ขี้โมโห ขี้วีน ขี้ฉุนเฉียว ฯลฯ เหล่านี้ผู้ชายเขาพอเข้าใจได้ พอมีบ้างเป็นน้ำจิ้มในชีวิตคู่ ก็อาจทำให้ชีวิตรักระหว่างคุณกับเขามีสีสันบ้าง (แต่อย่าเยอะเกิน ขอเตือน!)

ทว่านิสัยขี้…อีกบางประเภทนี่สิ ที่ผู้ชายเขาพูดขึ้นมาเลยว่าสุดทนจริงๆ หากคุณสาวๆ ทำบ่อยๆ ซ้ำๆ ซากๆ ใส่พวกเขา มันอาจสะสมจนเป็นแรงผลักดันให้ผู้ชายข้างกายเผ่นออกจากชีวิตคุณไปเลย

* ขี้บ่น เสียดสีประชดประชัน

“บ่นมาก มันน่าเบื่อ”

ผู้ชายคนหนึ่งเม้าท์อดีตภรรยาให้ฟังว่า

“ให้เป็นเมียนะครับ ไม่ใช่แม่”

เขาเล่าให้ฟังสมัยเป็นแฟน ไม่เห็น Ms.Ex คนนี้ขี้บ่นเลย แต่พอแต่งงานไปไม่นาน เขาขับรถผิดเส้นทางหน่อย ลืมมือถือ ลืมกุญแจบ้าน ภรรเมียก็บ่นแล้ว บ่นตั้งแต่เรื่องเล็กยันเรื่องใหญ่

“ปกติแม่ของผมก็ขี้บ่นครับ แต่นั่นคือ ‘แม่’ ผมทนได้ แต่กรณีเมีย ผมก็มานั่งคิด-ทำไมต้องทนด้วยวะ”

จุฑามาศ ณ สงขลา เขียนในหนังสือ สมาธิ 5 นาที ชีวิตดีตลอดไป อธิบายนิสัยขี้บ่นของผู้หญิงว่า มาจากสมองซีกขวารับเอาความรู้สึกหลากหลายและข้อมูลมากมายเข้าไว้ในตัวเอง ข้อมูลที่เป็นอารมณ์ความรู้สึกมันจะถูกคั่งค้างในสมองซีกขวาของผู้หญิง และมันจะถูกระบายออกก็ด้วยการบ่น รวมไปถึงการประชดประชัน กระทบกระเทียบ กระแนะกระแหน

“นั่นเป็นเพราะเธอว่าเรียงลำดับมันไม่ถูก คนที่อยู่ใกล้และคนที่เธอรักใคร่ใกล้ชิดนี่แหล่ะจะเป็นคนที่เธอสามารถบ่นๆๆๆ ว่าๆๆๆ หรือพูดจาชวนหาเรื่องได้ง่ายกว่าคนอื่น”

ซึ่งความเคยชินนี่แหล่ะมันน่าเบื่อน่ารำคาญสำหรับผู้ชาย คุณผู้หญิงหลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่ทะเลาะเบาะแว้งตบตีกันสักหน่อย ขอโทษค่ะ คุณคิดผิด!

ถ้อยคำบ่นพร่ำเพรื่อ ตลอดจนคำพูดเสียดสีกระแนะกระแหนประชดประชัน ล้วนบั่นทอนกำลังใจคนที่ได้ยิน สามารถสะสมเป็นความโกรธ ความไม่พอใจ ก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้าน

“การบ่นการเสียดสีประชดประชัน เป็นการพูดแบบไม่ให้กำลังใจ”

จิตแพทย์หญิง อังคณา อัญญมณี จากรพ.มนารมย์ เตือนผู้หญิงเราให้ตระหนักลึกๆ ว่า ผู้ชายต้องการอะไร

“ผู้ชายเขาต้องการความรัก การดูแลเอาใจใส่ ต้องการความอ่อนโยน ถ้าแฟนหรือภรรยาให้เขาตรงนี้ไม่ได้ เขาอาจไปมองหาคนอื่นที่ support ให้เขาตรงนี้ได้”

นั่นไง อย่ามัวแต่เพียงเพื่อระบายอารมณ์ โดยไม่รู้จักควบคุมคำพูดตัวเอง แฟนหรือสามีเขาไม่ใช่ ‘พ่อ’ ของเรานะคะ ที่พร้อมจะให้อภัยและให้โอกาสเราได้เสมอ


* ขี้ตำหนิ ติเตียน

“ผู้หญิงที่เนี้ยบมาก ผู้ชายจะกลัว”

รุ่นพี่ผู้ชายผู้มีประสบการณ์ชีวิตคู่ ตั้งประเด็นขึ้น

“พวกผู้หญิงเก่งแบบเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์(Perfectionist นักสมบูรณ์แบบ) เวลาอยู่บ้าน ก็ติดเรียกร้องสามี ทุกอย่างต้องเพอร์เฟ็กท์ นอกจากทำงานหาเงินเก่ง อยู่ในบ้านก็ต้องเป็นระเบียบเรียบร้อย”

อาทิ แปรงฟันห้ามสะบัดยาสีฟันเลอะกระจก ถอดเสื้อผ้าก็ต้องใส่ตะกร้าให้เป็นที่เป็นทาง ไม่ใช่ถอดกางเกงทิ้งม้วนเป็นเลขแปดสะเปะสะปะ หรือกินกาแฟแล้วก็ต้องเอาไปล้างเก็บให้เรียบร้อย ห้ามวางทิ้งของเกลื่อนรกบ้าน ฯลฯ

“ผู้ชายแท้ๆ เขาไม่ทำอะไรเป็นระเบียบเรียบร้อยหรอก”

จากคำพูดของรุ่นพี่ผู้ชายคนนี้ ทำให้นึกถึงประโยคคมๆ จากบทความ 5 Things You Might Be Doing to Sabotage Your Relationship ที่เคยอ่านเจอในเว็บฯ

“Even Mr. Right is not going to be perfect”

คนที่ใช่ของเราไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเป็นคนยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบไปซะหมด เราควรเรียนรู้ที่จะเข้าใจจุดบกพร่องของเขา อย่าไปมัวตำหนิติเตียน พูดจาให้เขารู้สึกต้อยต่ำ ไม่ว่าจะเรื่องงานเงิน กระทั่งเรื่องในบ้าน และเรื่องบนเตียง

“ฝ่ายหญิงมีฐานะมีความรู้ และเป็นคนเก่ง แต่อยู่กับผู้ชายที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ หรืออาจเป็นผู้ชายที่ดูด้อยกว่า การไปตำหนิเขาบ่อยๆ เขาอาจรู้สึกเหมือนผู้หญิงเหนือกว่า คอยกำกับควบคุมเขา เขาก็จะทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่ไหว มันเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ชายด้วย”

หมออังคณา แนะทางออกของประเด็นนี้ว่า

“ตรงนี้มันต้องมาแก้ที่ 'ใจ' ของเรา ไม่ใช่ว่าไปแก้ที่เขา เราอาจต้องมาดูตัวเองเข้าใจตัวเองก่อนว่า ใจเราคาดหวังอะไรกับเขา และความเป็นจริง..เขาเป็นได้แค่ไหน เราต้องรู้ว่าจุดดีจุดอ่อนของเขาคืออะไร และจุดดีจุดอ่อนของเราคืออะไร ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ดีกว่าเขาเท่าไรหรอก แต่เราชอบอยากให้เขาดีครบตามที่เราลิสต์(list)ไว้ ซึ่งในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้”

เอาน่ะ บางทีการมีผู้ชายงี่เง่าบ้างในชีวิต ก็ยังดีกว่าไม่มีผู้ชายเลยทั้งชีวิต!


* ขี้อ้อน งอแง

มีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งยังไง๊ยังไงก็ไม่ยอมหัดขับรถ ด้วยเหตุผลเพียงว่า ถ้าขับรถเป็น สามีก็ไม่ไปรับไปส่งสิ คุณฝาละมีของเธอจึงแทบขับรถรอบกรุงเทพเลยค่ะ กว่าจะออกจากบ้านบางกะปิไปส่งคุณแม่ เอ๊ย! คุณเมียไปทำงานธนาคารแถวพระโขนง ก่อนวนรถกลับไปออฟฟิศที่ประชาชื่น มิหนำซ้ำ ฝ่ายชายที่เป็นวิศวกร บางวันต้องไปดูงานที่พุทธมณฑล คุณภรรยาก็ไม่เคยปราณี ให้ขับรถมารับหลังเลิกงานแม้ว่าดึกแค่ไหนก็ตาม

“ถ้าไม่หาเงื่อนไขให้เขามารับส่ง เขาก็จะมีโอกาสไปลั้นลาที่อื่น”

อ๋อ ไม่ใช่สาวคนนี้ขี้เกียจ ที่แท้..ขี้หึงนี่เอง ซึ่งในมุมจิตวิทยา คุณหมออังคณาเผยสาเหตุว่า มาจากการไม่รักไม่เห็นคุณค่าตัวเองต่างหาก

“ผู้หญิงหลายคนไม่ค่อยรักตัวเอง ก็โหยหาความรักความเอาใจใส่จากแฟน ให้เขาทำโน้นทำนี่ให้ บางคนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าพอ กลัวว่าแฟนจะไปมีคนอื่น เลยเรียกร้องหาเรื่องควบคุมให้เขาอยู่ในสายตา

จริงๆ แล้ว เป็นความว่างเปล่าในใจของผู้หญิงนะคะ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาได้เหมือนกัน”

กลายเป็นคนงอแง ทำอะไรไม่เป็น

“need ให้ผู้ชายเขาอยู่กับเรา ให้ความรักกับเราตลอด ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกค่ะที่สามารถให้ความรักเราได้ตลอดเวลา”

เพื่อนหญิงคนนี้เล่าให้ฟังอีกว่า เธอจะคอยตรวจเช็กข้อมูลในมือถือ รวมทั้งกระเป๋าเงินของสามีตลอด ทำฟอร์มขอใช้โทรศัพท์บ้าง ขอหยิบตังค์บ้าง ซึ่ง(ยัง)ไม่พบสิ่งผิดปกติ

เราได้แต่เอาใจช่วย... หวั่นแต่ว่าฝ่ายตรงข้ามรู้ทัน เข้าตำราคุณชายแนบเนียนแบบคุณหมอเตือนน่ะสิ

“คอยเช็กตลอดไปไหนกับใคร ติดต่ออะไรกับใคร ยังไงบ้าง หรือตามติด..ไปไหนต้องมีเรา มันจะทำให้เขาอึดอัด ไม่เป็นส่วนตัว บางทีเขาเลยต้องโกหก ตัวเราเองเป็นคนทำให้เขาไม่สามารถบอกความจริง ไม่เปิดโอกาสให้เขามีโลกส่วนตัว

เราต้องเข้าใจทั้งตัวเราและตัวเขา ที่สำคัญ ต้องรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าพอ”

ฉะนั้น สาวใดขี้อ้อนงอแงแล้วได้ดั่งใจ ไม่ได้หมายความว่า ผู้ชายของคุณอยู่ในกำมือคุณนะคะ และการที่เขาตามใจคุณ ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะจงรักภักดีกับคุณ!

ความรักเป็นสิ่งเชื่อมโยงคนแปลกหน้าสองคนให้มาตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน

ทว่าความรักเป็นเรื่องนามธรรมค่ะ

การใช้ชีวิตร่วมกันของคนสองคน มันเป็นเรื่องรูปธรรมแล้วล่ะ

ดังนั้นคุณผู้หญิง(บวกคุณผู้ชายด้วย)ควรช่วยกันทำรูปธรรมให้ดีที่สุด เพื่อจะได้ห่อหุ้มนามธรรมรักนั้นไว้ให้นานที่สุด ..ไม่ใช่หรือคะ

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

ปัญหา "การหย่าร้าง" เรื่องที่ทุกบ้านไม่ควรมองข้าม


ปัญหา "การหย่าร้าง" เรื่องที่ทุกบ้านไม่ควรมองข้าม!

เมื่อได้ยินเรื่อง "การหย่าร่าง" เป็นเรื่องที่ใครฟังแล้ว ย่อมเกิดความรู้สะเทือนจิตใจไม่น้อย และไม่ต้องการให้เกิดกับชีวิตสมรสของตัวเอง เพราะเป็นความโหดร้าย และเปลี่ยนแปลงความรู้สึกทั้งสามี และภรรยา รวมไปถึงตัวลูกที่จะรับผลกรรมหลังจากการหย่าร้างโดยตรง เด็กบางคนจึงมีชีวิตที่ขาด เกิดเป็นปมด้อยติดตัวตามไปเมื่อต้องเข้าสังคมกับกลุ่มเพื่อน

ดังนั้น ปัญหาการหย่าร้าง และการสมรสใหม่ของครอบครัว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แนวโน้มจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของครอบครัวนั้นๆ จึงเกิดเป็นความกังวล และความกลัว สะท้อนได้จากผลวิจัยเรื่อง "การศึกษาความกลัวของนักเรียนที่มีต่อการหย่าร้าง และการสมรสใหม่ของครอบครัว" ที่สะท้อนความคิด และรู้สึกของเด็กต่อปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี

งานวิจัยชิ้นนี้ ได้ทำการสำรวจข้อมูลเบื้องต้น ด้วยวิธีการใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับความกลัวของของนักเรียนที่มีต่อการหย่าร้างและการสมรสใหม่ของครอบครัว เป็นกลุ่มนักเรียนในช่วงชั้นที่ 2 ซึ่งได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 และช่วงชั้นที่ 3 ซึ่งได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวนทั้งสิ้น 20,507 คน จากทั้งหมด 95 โรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาลพบุรี เขต 1 อ.เมือง จ.ลพบุรี

ผลการวิจัยจากการสำรวจ "ภัสยกร เลาสวัสดิกุล" บัณฑิตหลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการแนะแนว คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผย และสะท้อนให้เห็นว่า มีความกลัวเกิดขึ้น 7 ชนิดคือ ความกลัวการล้มเหลว ความกลัวการไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ความกลัวการถูกวิพากษ์วิจารณ์ และความลำบากใจ ความกลัวการถูกกระทำจากบุคคลอื่น ความกลัวการถูกกระทำอันตรายภายในครอบครัว ความกลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้ และความกลัวการถูกทอดทิ้ง

"นักเรียนหญิงจะมีความกลัวในด้านการไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ กลัวการถูกกระทำจากบุคคลอื่น และกลัวถูกทอดทิ้งมากกว่านักเรียนชาย โดยจะมีความรู้สึกวิตกกังวลว่าตนเองจะสูญเสียถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับความรัก การดูแลเอาใจใส่จากบุคคลที่ตนเองรักเหมือนเดิม โดยมักจะแสดงออกในลักษณะของการเสียใจ การเศร้าโศก หรือการเก็บซ่อนความทุกข์ใจไว้ภายใน ที่สำคัญเด็กหญิงจะมีความรู้สึกว่าตนเองไม่ปลอดภัย กลัวจะได้รับอันตรายมากกว่าเด็กชาย ซึ่งต่างจากเพศชายที่มักจะแสดงออกในลักษณะของพฤติกรรมที่ต่อต้าน ก้าวร้าว หรือพฤติกรรมที่เป็นปัญหามากกว่า"

ด้านอายุที่แตกต่างกันจะมีความกลัวต่อการหย่าร้างและการสมรสใหม่ของครอบครัวแตกต่างกันไปด้วย โดยเด็กมีอายุมากขึ้นอาจมีการรับรู้ และมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่มากขึ้น จึงทำให้เกิดความวิตกกังวลมากขึ้น เด็กที่มีอายุระหว่าง 13-15 ปี มีความกลัวมากกว่านักเรียนที่มีอายุระหว่าง 9-12 ปี โดยจะกลัวด้านความล้มเหลว ความกลัวการไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ความกลัวการถูกกระทำจากบุคคลอื่น ความกลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้ และความกลัวการถูกทอดทิ้ง เด็กที่มาจากครอบครัวหย่าร้างจะมีความกลัวมากกว่าเด็กที่มาจากครอบครัวปกติ

สำหรับเด็กมีพี่น้องจากครอบครัวเดิมอยู่ด้วย มีความกลัวการถูกทอดทิ้งน้อยกว่าเด็กที่เป็นลูกคนเดียว เนื่องมาจากการมีพี่น้องย่อมช่วยให้เกิดการแบ่งปันความรู้สึกที่เกิดขึ้นอันเป็นผลที่เกิดมาจากการหย่าร้าง เด็กจะไม่รู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว หรือถูกทิ้งให้เผชิญสถานการณ์การหย่าร้างแต่เพียงลำพังคนเดียว ซึ่งต่างจากนักเรียนที่ไม่มีพี่น้องจากครอบครัวเดิมอาจรู้สึกว่าตนเองต้องถูกทอดทิ้งให้เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของคนเองโดยลำพัง ไม่มีคนคอยปรึกษา จึงทำให้เกิดความกลัวการถูกทอดทิ้งมากกว่า

"พ่อแม่ ก่อนที่คิดจะหย่าร้างควรตระหนักถึงผลที่ตามมาอันจะส่งผลกระทบต่อลูกด้วย ทั้งนี้หากมีความจำเป็นที่จะต้องหย่าร้าง บิดามารดาควรสร้างความเข้าใจ หรืออธิบายถึงสาเหตุหรือความจำเป็นของการหย่าร้างเพื่อให้เด็กเข้าใจ ผู้ปกครอง บุคคลในครอบครัว ตลอดจนผู้ใกล้ชิดควรทำความเข้าใจนักเรียนที่ต้องเผชิญกับปัญหาการหย่าร้างและการสมรสใหม่ของครอบครัว โดยคำนึงถึงความรู้สึก และสร้างความเข้าใจในพฤติกรรมของลูกให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ได้ด้วย

ด้านครูประจำชั้น ครูผู้สอน และครูแนะแนว หน้าที่สำคัญคือ ควรทำความเข้าใจถึงความรู้สึกที่นักเรียนต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว ให้กำลังใจแก่นักเรียนและจะเป็นพื้นฐานในการสร้างความเข้าใจถึงพฤติกรรมที่เด็กแสดงออก และจะเป็นข้อมูลพื้นฐานในการที่จะช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาแก่นักเรียนที่กำลังเผชิญกับการหย่าร้างหรือการสมรสใหม่ของครอบครัว ให้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไปและสามารถดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้อย่างมีความสุข" ภัสยกรฝากทิ้งท้าย


โดย
ผู้จัดการออนไลน์

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พิสูจน์! ฝานมันฝรั่งมาแปะตา ลดอาการรอยคล้ำใต้ตาได้ทันใจ?

พิสูจน์! ฝานมันฝรั่งมาแปะตา ลดอาการรอยคล้ำใต้ตาได้ทันใจ?

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 พฤษภาคม 2553 12:06 น.

จะหลินปิง ช่วงช่วง หรือแพนด้าพันธุ์ไหนก็แล้วแต่ หลบไปเลยเมื่อเจอแพนด้าตัวแม่อย่างดิฉัน ไหนจะนอนดึก จ้องคอมพ์ ตาไม่กระพริบเป็นเวลานาน เพราะเร่งปิดข่าวให้ทันจนหามรุ่งหามค่ำ จนกระทั่งตาลึกโบ๋เป็นผีลืมหลุม เนื่องจากไอ้เจ้ารอยคล้ำใต้ตาตัวดีมาเยือนซะด่วนจี๋โดยไม่ให้ตั้งตัว แถมรอยย่น ตีนกาแห่มาเป็นขบวน โอ้ยย กลุ้มค้า!

จะพึ่งพวกอายครีม (Eye Cream) ทั้งหลายแหล่ ก็แพงหูฉี่ ถ้าได้ผลรอยดำใต้ตาหายวับไปก็ดีหรอก แต่มันน่าเจ็บใจตรงที่ไม่ได้ผลน่าซิ ที่สำคัญ เสียดายตังค์ค้า!!

เมื่อจวนตัวต้องรีบไปทำงานพรุ่งนี้เช้า แต่ก็กลัวปากของเพื่อนๆ จะทักว่าไปทำรัยมาหนังตาด้ำ ดำ ก็ขอพึ่งภูมิปัญญาชาวบ้านนี่แหละ ว่าแล้ว…ก็แว้บหายไปสาละวนขลุกอยู่ในครัวไม่ถึง 15 นาที ได้ผัก ผลไม้ มาทำสวยดังนี้จ้า

สวยและเด้ง แถมสตางค์อยู่ครบ อิอิ





ขอไล่เรียงสรรพคุณของผัก และผลไม้ ตามรูปดังนี้คะ

1. แตงกวา ช่วยความชุ่มชื่น ลดอาการบวมแดง
2. กล้วย ช่วยให้ผิวใต้ตานุ่มนวล ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
3. มันฝรั่ง มอบความสดชื่น กระจ่างใสให้ดวงตา
4. แครอท ผสมน้ำผึ้ง ไล่ตีนกาได้ดีนัก
5. มะเขือเทศ ทำให้ดวงตาสดใส ปิ๊งปั๊ง

ในการ Test ครั้งนี้ ดิฉันขอเลือกมันฝรั่ง มาลองทำให้ชมดีกว่า เค้าว่ากันว่า ได้ผลรวดเร็ว หยุดรอยคล้ำใต้ตาได้ชัดนัก เพราะมันฝรั่งมีเอนไซม์ (Enzyme) ที่ทำให้สีผิวดูอ่อนจางลงได้ จึงช่วยลดความหมองคล้ำได้ชั่วคราว วิธีนี้จึงเหมาะจะใช้เวลาที่คุณสาวๆ ต้องการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน

พื้นฐานดวงตาทุนเดิมเป็นคนเบ้าตาลึกคะ จึงค่อนข้างคล้ำดำง่ายกว่าคนปกติทั่วไป


วิธีทำแสนง่าย





เลือกมันฝรั่งผลใหญ่หน่อย เพื่อที่เวลาฝานจะได้ปิดตาได้มิดไงละ และล้างผลมันฝรั่งให้สะอาด จากนั้นฝานให้บางๆ นำมาแปะดวงตาประมาณ 15-20 นาที นอนหลับไปเลยได้ยิ่งดีเพื่อพักผ่อนสายตาจากการเหนื่อยล้า

Tip -> หากแช่มันฝรั่งในตู้เย็นยิ่งดีใหญ่ ช่วยลดปัญหาตาบวมได้ แถมสดชื่นอีกด้วยคะ

เมื่อฝานโปะเสร็จปรากฏว่า >>





หลังจากแปะมันฝรั่งครบ 15-20 นาทีแล้ว ดูผ่านๆ อาจจะเห็นผลไม่ค่อยชัดนัก (แหม ก็เราไม่นิยมรีทัชหลอกคนอ่านนี่นา) แต่ดูดีๆ สีคล้ำจะจางลงหน่อย ทั้งนี้อาจเพราะทำแค่ครั้งแรก และครั้งเดียว ทว่าหากไม่ขี้เกียจ หมั่นทำประจำสม่ำเสมอคงดีแน่ เพราะแค่ครั้งแรกยังรู้สึกถึงความชุ่มชื่น มีชีวิตชีวาบริเวณผิวรอบดวงตา เย็นๆ ตึงๆ ตาสว่างสดชื่น เนื่องจากน้ำจากมันฝรั่งทำให้ตาชุ่มชื่น

บางท่านไปลองทำ อาจรู้สึกคันยุบยิบเล็กน้อย แต่ห้ามเอามือไม่เกานะคะ เพราะตำราบอกไว้ว่าจะรู้สึกยิบนิดๆ ซึ่งไม่เป็นผลร้ายอะไร

เราตั้งใจว่าจะทำเองสม่ำเสมอแล้วล่ะ ก็ของดีหาง่ายในครัวไม่ต้องสรรหาจากแดนไกล ว่างๆ ท่านผู้อ่านลองทำดูได้นะคะ ของธรรมชาติคะไม่มีการแพ้แต่อย่างใด

* วิธีป้องกันตาแพนด้า

1) อย่าให้กล้ามเนื้อตาล้าเกินไป ด้วยการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ให้พักสายตาทุก 15 นาที การมองออกไปไกลๆ จะทำให้ดวงตาไม่เกิดอาการล้า พร้อมปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้แสงพอเหมาะ

2) หากรู้สึกอ่อนล้าให้นวดคลึงเบาๆ และควรบริหารดวงตาเพื่อคลายความตึงเครียด ด้วยการกลอกตาไปรอบๆ เป็นวงกลม สัก 5-6 รอบ ใช้นิ้วนางทั้ง 2 นิ้วแตะที่หัวตาแต่ละข้าง คลึงเบาๆ แบบกดจุดนาน 1-2 วินาที เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยถนอมดวงตาคู่สวยของคุณได้แล้วล่ะค่ะ

3) เพิ่มปริมาณการดื่มน้ำของคุณให้ได้อย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน

4) การสวมแว่นกันแดดที่เจือสีเล็กน้อย ก็จะทำให้พรางรอยคล้ำใต้ตาลงไปได้

5) การใส่คอนแทคเลนส์บ่อยๆ ก็เป็นสาเหตุดึง เพราะเราต้องรบกวนเปลือกตาด้วยการถ่างตาบ่อยๆ ทำให้เกิดรอยย่น ตัวดีเชียวแหละ

6) รอยคล้ำใต้ตาที่เกิดขึ้นมักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดฝอยบริเวณใต้ดวงตา หรือบางคนก็เกิดจากเป็นโรคภูมิแพ้ หรือกรรมพันธุ์ค่ะ คนที่ขยี้ตาบ่อยๆ ไม่ว่าจะเพราะเป็นภูมิแพ้แล้วคัน หรือว่าขยี้ตาด้วยความเคยชิน ก็ทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ตาแตกได้และเห็นเป็นรอยคล้ำได้