วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

การเลือกกางเกงในผู้ชายที่ควรรู้

เลือก “กางเกงในชาย” ทรงไหน เนื้อผ้าใด ให้เหมาะกับหนุ่มข้างกาย!?


"คอนเซ็ปต์ของกางเกงใน คือ ใส่แล้วต้องให้แนบเนื้อมากที่สุด รู้สึกได้น้อยสุด"

คุณบู้-สมยศ อภิชัยเกรียงไกร เจ้าของโรงงานผู้ผลิตชุดชั้นในชายส่งออก และเจ้าของร้าน M.I.G. แบรนด์ชุดชั้นในชายของไทย บอก เล่าความหมายของสิ่งที่เรียกว่า "ชั้นในชาย" หรือ “กางเกงลิง” บ้างเรียกขานว่า “กางเกงใน” ซึ่งจะเรียกชื่อจริง ชื่อเล่นอะไรก็แล้วแต่ มันก็คือ สิ่งที่ใช้ห่อหุ้มแท่งอ้อยของท่านชายไม่ให้ย้อย ห้อย โตงเตง ถูกฝนโดนแดดนั่นแหละ...

ความที่เติบโตมากับกองชุดชั้นในชาย (รุ่นคุณพ่อบุกเบิกสร้างโรงงานผลิตชุดชั้นในชายส่งออก) และมาสานงานต่อเป็นผู้บริหารโรงงาน สร้างแบรนด์-เปืดร้านของตัวเองขึ้น ถือว่าเขาคือ กูรูรู้ลึกรู้จริงเรื่องกางเกงในชาย

เขาจะมาบอกสาวเราว่า จริงๆ แล้วกางเกงในชายนั้นมีกี่รูปทรง แบบไหนที่ผู้ชายเห็นแล้วอยากสอย อยากโดนมากที่สุด หรือผู้หญิงเห็นปั้บต้องคว้าหมับพุ่งรี่ซื้อให้คุณสามีสวมใส่กันเลยทันที


"เมื่อก่อนผู้หญิงมักมาซื้อกางเกงในให้สามี หรือแฟนโดยปกติอยู่แล้ว เหมือนกับวัฒนธรรมคนไทยมากกว่า ที่ผู้ชายจะเขินๆ อายๆ

แต่ว่าตอนนี้โลกมันเปิดกว้างขึ้น กลุ่มพวกเกย์มากขึ้น สินค้าอื่นๆ ก็จะมาจับกลุ่มผู้ชายโดยเฉพาะ เช่น ครีม ผู้ชายยังใช้เลย พวกเครื่องสำอาง โลชัน สินค้าเปิดกว้างมากขึ้น ผู้ชายก็จะออกมาซื้อเอง อยู่ในจุดที่เขาเลือกเอง พอเขาเลือกเองก็จะรู้แล้วว่า ชอบแบบไหน"

ผู้ชายวัย30+ ควรเปลี่ยนแบบ เลือกทรงกางเกงในใหม่เถอะ เพราะพุงเริ่มมาเยือน แถมไขมันก่อตัว หวั่นแพ้ขอบยาง ผุดผดผื่น กูรูบู้แนะนำมา

"เคยมีพ่อบ้านมาเดินซื้อน่ะ พอเขามาคุยก็จะรู้แล้วว่า กางเกงในที่เขาใส่อยู่มีปัญหาอะไร เราจะเหมือนให้คำปรึกษามากกว่า ว่าใส่ทรงนี้แล้วผิวหนังเป็นผื่นเป็นเม็ด พี่ใส่รุ่นไหนอยู่ พี่แพ้ขอบยางอยู่ พี่รู้ไหม ซึ่งผู้ชายวัยสามสิบขึ้นไปเนี้ยจะเริ่มมีหน้าท้อง มีเนื้อหนังมากขึ้น ดังนั้นควรเปลี่ยนแบบของกางเกงในได้แล้ว"

แต่ก็มีผู้ชายบางคนทู่ซี้ใส่ของเก่าไม่ยอมเปลี่ยนใหม่ซะที กลับบอก ยิ่งเก่ายิ่งดี สัมผัสนุ่มละมุนผิว ของใหม่มันฟิต อึดอัด คับพุง

"พ่อบ้านบางคนบอกว่า ยิ่งเก่ายิ่งดี เพราะมันบางและนิ่มไง เขาจึงรู้สึกว่า ของใหม่มันอึดอัด ไม่นิ่มไม่อยากใส่เลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้น อ้วนท้วมมากขึ้น จึงเป็นเรื่องปกติ

บางคนงงว่า เอ๊ะ ทำไมเดี๋ยวนี้ใส่ไซส์เดิมไม่ได้แล้ว เริ่มงง บางคนพอมีเนื้อหนังมากขึ้นแพ้ขอบยาง เกิดผด เกิดผื่น ต้องเปลี่ยนรุ่น เหมือนว่ารุ่นนี้ไม่เหมาะแล้ว เขาควรไปใส่รุ่นที่เป็นขอบผ้า เพื่อจุดสัมผัสเป็นผ้ากับผ้า ไม่ใช่เป็นมีอะไร มียางมากดทับมากขึ้น"

กางเกงในไทยเคยมีโอกาสลัดฟ้าสู่ตลาดยุโรป แต่แป้ก! เพราะผลของฝรั่งนั้นพวงใหญ่ แถมลำต้นยิ่ง “เบ้อเริ่ม”

คุณบู้ให้เหตุผลเชิงขนาดว่า

“กางเกงในผู้ชายจะมีไซส์ตั้งแต่ S-2X แล้วแต่จะจับกลุ่มไหน เช่นพวกคนไทย ญี่ปุ่น มาเลย์ ฟิลิปปินส์ พวกเอเชียจะใส่ประเภทเดียวกัน คือ ไซส์เล็ก

แต่ถ้าพวกโซนยุโรป มันค่อนข้างรุ่นเฉพาะมากๆ สำหรับเขา เพราะของเขาค่อนข้างใหญ่ กางเกงในของเราส่งไปทางประเทศเขาจึงขายไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เคยมีจากสวิตเซอร์เเลนด์ เขาเอาสินค้าเราไปทั้งแบรนด์ ไปถึงแล้วแป้ก เนื่องจากพวกเขาใส่สินค้าของเราไม่ได้ พวกเขาตัวใหญ่มาก”

บ้านเขาอากาศเย็น อุณหภูมิยะเยือก อีกทั้งเสากระโดงล่ำ ยาว จึงต้องมีพอกเก็ต (pocket หมายถึงถุง/ซองเล็กๆ) เพื่อเอาไว้ม้วนเก็บไอ้ใบ้ไม่ให้เพ่นพ่านเลื้อยเลาะโผล่หัวแล่บ อีกทั้งยังสร้างความอบอุ่น อยู่ดีมีสุข ภายใต้ชายคากางเกงในอันหนานุ่ม ซึ่งคุณบู้ให้ข้อมูลกางเกงในชายแบบฝรั่งว่า

“เราทำสินค้าให้เขา เราเลยรู้ว่า ทำไมบ้านเขาต้องมีพอกเก็ต เนื่องจากใหญ่บ้านเขาเป็นเมืองหนาว และที่สำคัญ อวัยวะเพศของฝรั่งเขาใหญ่ จึงต้องมีไว้เก็บโดยส่วนนั้นโดยเฉพาะ บางคนใส่กึ่งลองจอห์น (Long John-ชุดซับในกันหนาว) เลยก็มีน่ะ เพราะอากาศหนาวมากไง”

อ่ะ ฮ้า เกริ่นกันพอหอมปากหอมคอแล้ว กูรูบู้จะมาเปิดเผยต่ออีกว่า กางเกงในชายมีกันกี่ทรง แล้วผู้ชายรูปร่างผอมโซเป็นไม้เสียบผี หรืออ้วนฉุ ก้นงอน พุงล้ำหน้า ควรเลือกกางเกงในทรงไหนดีล่ะ

แบบแรก: บิกินี่
-รุ่นเบสิก ใส่เอ๊าะยันแก่ กระชับทุกช่วงวัย


กางเกงในสไตล์บิกินี่ ชายไทยทุกคนล้วนมีไว้ถือครองเป็นกรรมสิทธิ์กันทุกช่วงวัย เป็นรุ่นบุกเบิกของวงการกางเกงในชายเลยทีเดียว

“ทรงบิกินี่ (Bikini) จะเป็นรุ่นเบสิก (basic-พื้นฐาน) เลย จริงๆ เหมาะสำหรับผู้ชายที่ผอมน่ะ พวกเด็กชายวัยรุ่น10-20 ปลายๆ ส่วนใหญ่จะใส่รุ่นนี้ เพราะมันจะกระชับ แต่เดี๋ยวนี้พฤติกรรมก็เปลี่ยนไปอีกล่ะ บางทีบ็อกเซอร์ (Boxer) ฮิตไง เด็กก็อยากใส่ ซึ่งเขาไม่ได้คำนึงว่า ใส่ได้หรือไม่ได้

รุ่น พวกนี้มันเป็นเบสิก ราคาค่อนข้างถูก คล้ายๆ สินค้ามีทู (Mee too-คุณทำได้ ผมแจมด้วย) มากกว่าใครๆ ก็ทำ พื้นตลาดมันกว้าง การทำชุดชั้นในก็ต้องมีรุ่นเบสิกอยู่แล้ว กลุ่มลูกค้าก็อายุตั้งแต่10-30 ปี กลุ่มอายุค่อนข้างกว้าง ประหยัด รุ่นนี้ขายดี คนนิยมใส่กันครับ”

แต่จริงๆ แล้ว “ไม่มีให้เลือก” มากกว่า กูรูบู้เผย

“เพราะ มันไม่มีให้เลือกไง พวกกางเกงในทรงฮาล์ฟบรีฟ (Half Brief) ที่เข้ามาเมืองไทย เมื่อก่อนมันมาจากพวกเมืองนอกขายบนห้างฯเท่านั้น กางเกงในทรงนี้จะแพงมาก คนที่มีกำลังซื้อบ้านเรายังไม่ค่อยมาก เหมือนกับต้องทนๆ ใส่บิกินี่ ใส่ได้ก็ใส่

เมื่อ ก่อนมีทรงกางเกงในน้อย ไม่ได้มีตัวเลือกมาก ยังไม่มีใครออกมาทำเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ แต่ตอนนี้เริ่มมีคนทำออกมามากขึ้น ตัวเลือกมากขึ้น แต่ละแบรนด์ก็จะทำทรงของตัวเอง เพื่อจะมาจับกลุ่มลูกค้า”

แบบที่สอง: ฮาล์ฟบรีฟ
-ของเค้าแรง มาดสปอร์ต ใส่แล้วรัด ล็อกสุดๆ


กางเกงในทรงฮาล์ฟบรีฟ กำลังอินเทรนด์ มาแรงฮิตกระจายในหมู่ชายไทยเลยทีเดียว ใส่แล้วสบายลูกชายหายห่วง กูรูบู้เปิดเผยว่า

“ทรง นี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบสวมใส่แบบสบายๆ ใส่ได้ตลอดเวลา ตอนนี้รุ่นนี้กำลังขายดี เพราะเหมือนกับกำลังจะเข้ามาแทนที่กลุ่มบิกินี่มากกว่า คือ ราคาแพงขึ้นนิดหน่อย แต่คนก็จะยอมซื้อความสบายมากกว่า ได้ทุกวัยเหมือนกัน แต่คนที่ซื้อจะเป็นช่วงอายุ 20 ปลายๆ ถึง 30 ปีขึ้นไป จะใส่รุ่นนี้เยอะเลย ใส่แล้วมันรัด ล็อกเข้าไปเลย”

ทว่า ขอสงวนสิทธิ์ความฮอตฮิตไว้แค่หนุ่มหุ่นจุ๋มจิ๋มเท่านั้นน่ะ ร่างใหญ่เจ้าเนื้อ ไขมันปลิ้น ..ไม่สามารถค่ะ

“ตอน นี้กางเกงในมีหลายทรงมากขึ้น ถ้าคนที่อ้วนมากๆ เขาจะไม่ใส่พวกทรงฮาล์ฟบรีฟน่ะ บางคนไม่ใส่น่ะ หนีไปใส่บ็อกเซอร์เลย เพราะเขาอ้วนไง ใส่ฮาล์ฟบรีฟก็อึดอัดน่ะ

แต่ทรงฮาล์ฟบรีฟนี้เหมาะกับการเล่นกีฬา ทรงออกสปอร์ต เหมือนพวกแทงก้า (Tanga) แนะนำให้ใส่ สองทรงนี้ไปเล่นกีฬา เพราะโอบกระชับแนบเนื้อดีครับ”

แบบที่สาม: แทงก้า
-เอ็กซ์ เซ็กซ์ เว้าหน้าขา เก้งกวางชอบอกชอบใจ


ทรงเปิดหน้าขาแทงก้า แต่ กล้าแทงป่าวไม่รู้น่ะ แหม ใส่แล้วมันเอ็กซ์โอ้ลัลล้าเย้ายวนน่าจ๊วบเหลือเกิ้น สมาคมชาวเกย์ ไม่ว่าจะเป็นพี่คิง ควีน ไบ โบท น่าจะปลื้มกันทุกนาง

“รุ่นเว้า เปิดหน้าขา รุ่นนี้จะเหมาะสำหรับคนที่กล้าน่ะ คือ จริงๆ พวกเกย์จะชอบรุ่นนี้นะ เพราะมันเอ็กซ์ดี”

แต่จุดประสงค์แท้จริงนั้น กูรูบู้บอกว่า ต้องการแก้ปัญหาของคนที่มีหน้าขาใหญ่

“พวก ผู้ชายที่กล้ามเนื้อขาเยอะ ช่วงขาบนใหญ่ ไม่ว่าเขาจะใส่กางเกงในรุ่นไหน จะเป็นขอบผ้า หรือขอบยาง จะแพ้เป็นผื่นหมด ดังนั้นจึงต้องเปิดขาขึ้นมา ไม่ให้โดนเนื้อนั่นเอง

พวกชอบโชว์ของ หรือต้องการใส่แล้วเร้าอารมณ์ผู้หญิงได้ดีสุดๆ ก็รุ่นแทงก้าเลย”

แทงก้าตอบโจทย์ผู้ชายเจ้าเนื้อ นักกล้ามที่ขาใหญ่ล่ำได้ดี เริ่ดกว่าหนีขอบยางเจ็บจี๊ดไปใส่บ็อกเซอร์เยอะ

“หลังๆ มาคนหุ่นใหญ่หันมาซื้อรุ่นแทงก้าเยอะ เพราะเขาไม่มีกางเกงในใส่ไง ซื้อเลย XL เพราะบางคนก็หนีไปใส่บ็อกเซอร์เลย ทนการเสียดสีจากขอบยาง ขอบผ้า ที่หน้าขาไม่ไหว

แต่ ยังไงก็ถือว่ายังเป็นกลุ่มค่อนข้างเล็ก ที่ไม่เกี่ยงราคา ตัวเลขสูงเท่าไหร่เขาก็ยอมจ่าย เพราะเขาหาชุดชั้นในใส่ยากไง เขาไม่อยากไปใส่กางเกงขาสั้น เช่น พวกแขกตะวันออกกลาง พอเขาเจอปุ้บ ก็รีบกวาด(กางเกงใน)เลย”

แบบที่สี่: บ็อกเซอร์
-ไม่เจ็บไข่ ไม่แสบหน้าขา อยู่เหนือการควบคุมใดๆ


หากท่านชายคนใดไม่ผวาไส้เลื่อน ไม่หวั่นท่อนเอ็นตีขาแตก อยู่บ้านนอนแบอ้าตากพัดลมชิวๆ ไล่กลิ่นเหม็นอับของลับก็ต้อง “บ็อกเซอร์” ถูกใจชายทุกไซส์ โดยเฉพาะหุ่นพี่เบิ้ม ไขมันทะลักยิ้มเลย

“บ็อกเซอร์นี่เดี๋ยวนี้วัยรุ่นนิยมใส่กันนะ เพราะบางคนใส่กางเกงเวลาถอดก็ง่ายไง ยังไงก็ยังใส่บ็อกเซอร์อยู่ ถอดได้ง่าย

กลับมาถึงบ้านก็ถอดกางเกง เหลือบ็อกเซอร์อยู่ใส่อยู่บ้าน หรือนอนแต่ถึงอย่างไร ผ้าพวกนี้ก็สบายนะ แนบเนื้อ”

แล้วแขนขาน้องชายไม่แกว่งไกว แล่บออกมาจ๊ะเอ๋โดนไส้เลื่อนเล่นงานเหรอคะกูรู

“มัน จะห้อยไหมเหรอ บางคนเขาชินไง แล้วแต่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไรอีก ถ้าเขาถูกเลี้ยงดูโดยใส่บ็อกเซอร์มาตั้งแต่เกิด เขาก็จะชิน เขาจะไม่เป็นไส้เลื่อน เพราะอะไรรู้ไหม เหมือนกับร่างกายเขาปรับตัวเอง คุ้นเคย แต่คนที่ไม่เคยใส่บ็อกเซอร์แล้วไปใส่ บางทีจะเขาเป็นไง เพราะมันถูกอุ้มมาตั้งแต่เด็ก วันดีคืนดีไม่ถูกอุ้มแล้ว มันจะเลื่อนเลย”

แบบสุดท้าย: จีสตริง
-เจ็บร่องก้นนิดส์ แต่ปลุกกำหนัดนักเชียว


ไม่ใช่กางเกงในเข้าวินหรอกค่ะ เพียงแต่เรียกกันว่า จีสตริง (G-string) เส้นเล็กๆ กระชับสอดรับเข้าง่ามก้น ตอบสนองผู้ชายชอบใส่กางเกงรัดรึงตึงเปรี๊ยะ หวั่นสื่อ หรือประชาชนเห็นขอบกกน. ซึ่งจะดูไม่งามนัก

กูรูบู้ย้ำว่า มีผู้ชายใส่ แต่น้อย ในอนาคตอาจแตกไลน์วางขายจีสตริงสู่ก้นผู้บริโภค

“พวก ผู้ชายบางคนเขาก็ใส่กันนะ แต่ยอมรับว่าเดี๋ยวนี้เทรนด์มันก็มา แต่คงไม่ได้ใส่ทุกวัน ก็เหมือนผู้หญิงแหล่ะ วันนี้ชั้นใส่กางเกงแบบนี้ ชั้นก็จะเลือกเลือกใส่กางเกงในจีสตริง เหมือนผู้ชายแหล่ะ บางคนใส่กางเกงรัดรูปเยอะๆ มันจะแนบเนื้อและเห็นขอบกางเกงใน หากใส่จีสตริงก็ไม่เห็นขอบ”

แน่นอน จีสตริงไม่ได้ใส่เสียดสีหนังก้นเป็นประจำ แล้วแต่โอกาสซะเป็นส่วนใหญ่

“แล้ว แต่โอกาสมากกว่าครับ ว่าจะใส่ไปทำกิจกรรมอะไร เช่น วันนี้ออกไปเล่นกีฬาก็จะใส่แทงก้า วันนี้เดินเที่ยวกับเพื่อนจะใส่บิกินี่ แต่พอจะมีอะไรกับแฟนก็ใส่จีสตริง อะไรแบบนี้เป็นต้น” กูรูบู้เสริมรายละเอียดวาระ และโอกาสของแต่ละทรงกางเกงใน


* เซียนแนะเลือกผ้า ต้องโปร่ง สบาย

“ต้องคอตตอน (Cotton ผ้าฝ้าย) เท่านั้น”

กูรูบู้ ย้ำเด็ดขาดการเลือกกางเกงในที่ดี และเหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศเมืองไทย ควรเลือกผ้าคอตตอน

“บ้าน เราเมืองร้อนควรใส่ผ้าคอตตอนเท่านั้น ผิวสัมผัสจะสบาย ห้ามใส่ผ้าอย่างอื่นเด็ดขาด เพราะว่า ของพวกนี้มันติดตัวเราตลอดเวลา พวกผ้าราคาถูกๆ จะเป็นพวกโพลีเอสเตอร์ (Polyester) ใยสังเคราะห์ แต่บางคนเขาไม่ใส่ใจ ก็จะซื้อ”

งั้นพวกพวกกางเกงในสามตัวร้อยคงอยู่ในข่ายนี้ชิมิ

“ส่วน ขอบกางเกงในที่ดีควรเป็นขอบผ้าในตัว เพราะจะเป็นผ้าทั้งหมด จริงๆ แล้วไม่ควรที่จะมีอะไรที่เป็นใยสังเคราะห์มาโดนตัว สัมผัสกับผิวหนังตลอดเวลา

เดี๋ยวนี้มีผ้าพวกสแปนเด็กซ์ (Spandex) ซึ่งเป็นโพลีฯ สังเคราะห์ ทำให้ผ้ามีความยืดหยุ่นมากขึ้น กระชับขึ้น ได้ความบางของเนื้อผ้า

เมื่อ ก่อนเทคโนโลยียางยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ไง คนจะไม่ค่อยชอบเป็นยาง ..จะกลัว ..เพราะอะไร เขาบอกว่ามันดูดเลือด ยิ่งคนมีหน้าท้องเยอะๆ มันจะกดเป็นรอย ไม่เอาเลย แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีใหม่ๆ มันเข้ามาทำให้ผิวสัมผัสของยางมันดีมากขึ้น เพราะฉะนั้นปัญหาพวกนี้จึงไม่ค่อยเกิด เลือกวัสดุที่ใช้ค่อนข้างดีหน่อย”

ยุคไฮเทค ใยผ้าไลครา (Lycra) เสกก้นห้อยยกกระชับได้

“เมื่อ ก่อนจะมีแต่ผ้าคอตตอนอย่างเดียว เหมือนกับพวกทรงบิกินีทั่วไป เป็นเรียบๆ มันจะใช้จุดที่รัด คือ ขอบยาง ยางเอว กับยางขา จุดที่มันรัดรูป แต่เดี๋ยวนี้จุดที่ทำให้มันเข้ารูปได้ ก็คือ ผ้าด้วย คือเป็นคอตตอนผสมสเเปนเด็กซ์ และไลครา เข้าไปในใยผ้าด้วย ช่วยยกกระชับ เก็บก้นได้ เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิด

เริ่ม จากคนเคยชินจากคอตตอนก็จะเริ่มมาใช้มากขึ้น แต่คนต่างประเทศเขาจะรู้จัก พอจับแล้ว ผิวสัมผัสต่างๆ จะไม่เหมือนกัน ใส่แล้วสบายกว่า ใยผ้าเวลาผสมแล้วแต่จะใส่ 3% 5% 7% หรือ 9% ผสมกับคอตตอนอีกกว่า 90% อะไรประมาณนี้ เส้นใยที่ใส่จะเส้นเล็กลง เพื่อให้มันบาง และเข้ารูป”

ไหนๆ ก็ไหนๆ กูรูบู้ขอพาดพิงเตือนสาวๆ ทั้งหลายที่โปรดปรานการใส่ กกน.ผ้าโพลีฯ มัน ลื่น เข้าใจว่าซักง่าย แต่เสี่ยงไฟฟ้าสถิตย์ เชื้อราบุกลอดถ้ำอันเร้นลับนะจ๊ะ

“พวกผู้หญิงจะชอบใส่พวกผ้าโพลีฯ ที่ผิวสัมผัสมันๆ ลื่นๆ เพราะเข้าใจว่าซักง่าย ซึ่งเท่าที่ผมทราบมา ผ้าพวกนี้มันทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตย์

ร่าง กายมันเหมือนไฟฟ้าช็อต สปาร์ก (spark) ทั้งวัน นอกจากนี้จะสร้างพวกเม็ดขาวๆ หรือพวกเชื้อราขึ้นมาน่ะ ลองเปลี่ยนไปใส่คอตตอนซิ จะช่วยซับเหงื่อ ระบายอากาศได้ดีทีเดียว พวกผ้าโพลีฯไม่ดีหรอก เพราะไม่ระบายอากาศ แถมร้อน ไม่ซับเหงื่อ จึงเป็นที่มาของโรคต่างๆ อย่างเชื้อราในร่มผ้าไงครับ”

* 3 สีอมตะ ส่วนขอบแล้วแต่ชอบ

“ขาว เทา ดำ หากใครชอบขาว กี่ปีก็จะขาวอย่างเดียว ส่วนคนที่ไม่นิยมขาวก็จะเอาสีที่ดำไปเลย หรือเทาไปเลย” กูรูบู้เผยว่า ผู้ชายส่วนใหญ่ฮิตๆ อยู่ 3 สีนี้แหละ


“เน้น พวกโทนสีเข้มๆ เพราะผู้ชายเขาจะมีปัญหาเรื่องเหลืองบ้าง หรือดูเก่า หรือไม่เข้ม ก็ขาวเลย พวกสีครีม ฟ้า สีอ่อนๆ ไม่ค่อยมีนะ แดงก็มี แต่ต้องแดงเลือดหมู”

อ๋อ ผู้ชายชอบสีดิบ ดุ ดัน ไม่โปรดสีสันหวือหวา ชอบสีไหนสีนั้น รักเดียวใจเดียวนั่นเอง(หมายถึงกางเกงในน่ะไม่ใช่แฟน ฮึ) แต่แอบเล่นสีตรงขอบเท่านั้นเอง

“ผู้ชาย ชอบใส่สีไหนก็สีนั้น ที่ร้านถึงทำแค่ขาว เทา ดำ จะเปลี่ยนก็แค่ขอบกางเกงในให้เป็นสีๆ แรกๆ คิดเหมือนกันว่า ผู้ชายไม่กล้าใส่แน่เลย แต่ปรากฏว่าออกไปแล้วขายดี คือ คนซ่อนเร้นเยอะไง แฟชั่นเอวต่ำอินเทรนด์ไง ผู้ชายบางคนเลยต้องการโชว์ขอบ ให้เห็นขอบกางเกงในนิดๆ นั่นคือ เขาเจตนาโชว์ขอบอยู่แล้ว”

:: ถนอมกกน.ไม่ให้ย้วย ม้วยก่อนเวลา

กูรูบู้ออกปากห้ามหลังจากถอดกกน.ม้วนเป็นเลขแปดแล้ว ห้ามเขวี้ยงลงเครื่องซักผ้า หรือแปดเปื้อนโดนผงซักฟอก เพราะเส้นใยจะพังป่นปี้ ทำกางเกงในไร้สมรรถภาพการใช้งาน

“จริงๆ แล้ว ไม่ควรซักโดยใช้ผงซักฟอกนะ ใช้น้ำยาซักผ้าอ่อนๆ จะดีกว่า เราควรถนอมผ้า หากใช้พวกผงซักฟอกจะทำปฏิกิริยากัดใยผ้า ทำให้โครงสร้างของเส้นใยหงิก งอ เพราะเส้นใยจะเล็กมาก ต่างจากพวกพวกเสื้อผ้า”

ถ้างั้น คุณภรรเมียทั้งหลายต้องเปลี่ยนวิธีซักกกน.ให้คุณสามีแล้วล่ะค่ะ แทนที่จะโยนเข้าเครื่องซักผ้า ต้องยอมแบ่งน้ำยาซักชุดใน(ที่ผู้หญิงเราใช้เฉพาะ เป็นประจำ) แช่ซักมือให้คุณเขาหน่อยนะ เพื่อการคงคุณภาพกางเกงใน ใช้ได้นานๆ ประหยัดระยะยาวไงล่ะคะ

“และอายุการใช้งานกางเกงในไม่ควรเกิน 3 เดือน ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะเส้นใยของพวกนี้ถูกใช้ ถูกซัก ถูกเคมี แล้วใส่ทุกวันโดนน้ำ โดนเหงื่อ มันจึงหมดอายุเร็ว”

คุณบู้ว่าตามหลักการเพราะผู้ชายมักมีน้ำอันไม่พึงประสงค์ ไหนจะต้องซักบ่อย คือ โดนสารเคมีหลายอย่าง พอเส้นใยตายมันก็เสียทรง ขอบยางไม่กระชับ

“แต่บางคนเคยชินกับความยืดความบางของกางเกงใน เขาก็จะชอบตัวเก่าๆ ของเขา เพราะมันไม่อึดอัดเหมือนของใหม่ แต่จริงๆแล้ว ควรเปลี่ยน ยิ่งบางคนเอาไปปั่นเครื่องซักฯยิ่งไปกันใหญ่”

ขนาด ผู้ชายยัง 3 เดือนเปลี่ยนกกน.ที เพราะมีสารพัดขี้ ทั้งขี้เปียก ขี้เกลือ ขี้ไคล หมักหมมสะสมเป็นคราบเหลืองเกรอะกรัง แถมเหม็นโฉ่ ผลที่ตามจึงต้องซักบ่อย งี้ ผู้หญิงอย่างเรามิต้องเปลี่ยนทุกเดือนเลยชิมิ (แอบงกค่า กกน.) ทั้งตกขาว โรคช้ำรั่ว หูรูดเสื่อมฉี่เล็ด ไหนจะประจำเดือน แถมน้ำคาวปลาอีก เฮ้ออ..

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

“โยเกิร์ต” ให้ประโยชน์มากกว่าที่คิด!?

ของโปรดของสาวๆ “โยเกิร์ต” ให้ประโยชน์มากกว่าที่คิด!?

ป็นที่รู้จัก และคุ้นเคยกันมานาน สำหรับ โยเกิร์ต (Yoghurt) อาหาร เพื่อสุขภาพอีกอย่าง ที่สาวเรานิยมรับประทานกันนัก เพราะนอกจากจะมีรสชาติอร่อยลิ้นแล้ว ยังเชื่อกันว่าเป็นอาหารที่กินแล้วจะอายุยืนด้วยล่ะ

ความ เชื่อนี้สืบทอดกันมาจากชนเผ่า ทราเซียน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวบัลแกเรีย โดยชนเผ่านี้นิยมเอาน้ำนมใส่ไว้ในถุงที่ทำด้วยหนังแกะ คาดไว้ที่เอว เพื่อตุนไว้กินระหว่างออกไปเลี้ยงแกะ หรือทำงานในทุ่ง ทว่าการพกนมไว้ที่เอวนั้น ความร้อนจากร่างกายได้ส่งผลให้อุณหภูมิของนมสูงขึ้น เมื่ออุณหภูมิของนมเริ่มอุ่นๆ และไปผสมกับเชื้อจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในหนังแกะ ไปๆ มาๆ ก็เลยกลายเป็นนมที่มีลักษณะข้นๆ กึ่งแข็ง กึ่งเหลว แถมมีรสเปรี้ยวคล้ายบูดเน่า แต่พอกินเข้าไปแทนที่จะท้องเสีย ดั๊นมีสุขภาพดีขึ้นซะอีก ชาวบัลแกเรียจึงนิยมกิน และมีความเชื่อเรื่องกินโยเกิร์ตแล้วสุขภาพดี อายุยืนกันมาเนิ่นนาน


แต่ สาวยุคใหม่หลายคน อาจยังสงสัยว่า จริงๆ แล้วเรื่องกินโยเกิร์ตแล้วอายุยืน จะเป็นเรื่องจริงมั้ย แค่อิงนิยายหรือเปล่า เมื่อสบโอกาสได้พบกับ รศ.พญ. นลินี จงวิริยพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ จากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ในงานเปิดตัวแคมเปญใหม่ของโยเกิร์ตแอคทีเวีย อาจารย์หมอได้นำความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการกินโยเกิร์ต มาบรรยายให้สาวๆ ที่กำลังสงสัย ในเรื่องนี้หายคับข้องใจไปเลยค่ะ

โยเกิร์ตคืออะไร ..เหมือนกับนมเปรี้ยวมั้ย?

คุณ หมอนลิณีกล่าวว่า ทั้งโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักนม โดยมีการเติมเชื้อจุลินทรีย์ลงไป ซึ่งโยเกิร์ตแบ่งได้ 2 ประเภท คือ โยเกิร์ตชนิดครีม (Cream Yoghurt) นั่นคือโยเกิร์ตแบบเป็นถ้วยที่มีลักษณะเหลว ต้องใช้ช้อนตักทาน และโยเกิร์ตพร้อมดื่ม (Drinking Yoghurt) หรือนมเปรี้ยวที่มีลักษณะเป็นน้ำนมเหลวที่บรรจุในกล่อง หรือขวด

“โยเกิร์ต ก็คือ นมเปรี้ยวชนิดหนึ่งค่ะ เป็นนมเปรี้ยวที่ผ่านการฆ่าเชื้อ จุลินทรีย์ที่เป็นโรคถูกกำจัดไปหมดแล้ว นมชนิดนี้ได้รับการหมักโดยเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นอันตราย ที่ต้องเน้นว่าจุลินทรีย์ ไม่เป็นอันตราย เพราะถ้าพูดถึงจุลินทรีย์ เราจะรู้จักทั้งจุลินทรีย์ที่ก่อโทษ และจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ในกระบวนการผลิตโยเกิร์ตนั้น เราจะใช้เฉพาะจุลินทรีย์ที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น”

ท้องผูก-ท้องเสีย ..โยเกิร์ตช่วยได้

อาจารย์ หมอใจดีบอกถึงประโยชน์เด่นของโยเกิร์ตว่า เป็นพระเอกในเรื่องการสร้างสมดุลของระบบขับถ่ายค่ะ เพราะการรับประทานโยเกิร์ตอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดปัญหาเรื่องท้องผูก ท้องเสียได้เป็นอย่างดี

“ประโยชน์ ที่จะได้จากโยเกิร์ตก็คือ การปรับสมดุลร่างกาย คือช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย ลดปัญหาเรื่องท้องอืด อึดอัด แน่นท้องไม่สบายท้อง ซึ่งในคนที่มีปัญหาท้องผูกก็จะช่วยได้ เพราะว่าโยเกิร์ตจะมีจุลินทรีย์ที่ดี ที่ช่วยในเรื่องการทำงานของลำไส้ ทำให้ระบบดูดซึมมีประสิทธิภาพมากขึ้น การขับถ่ายก็จะดีขึ้น

ส่วน คนที่มีปัญหาท้องเสียบ่อยๆ ก็รับประทานโยเกิร์ตได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะยิ่งเป็นการเพิ่มอาการท้องเสีย เพราะจุลินทรีย์ที่อยู่ในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์สุขภาพ ซึ่งจะช่วยยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดไม่ดี และเพิ่มภูมิต้านทานให้ระบบย่อยในลำไส้ เมื่อลำไส้แข็งแรง โอกาสที่เชื้อโรคจากภายนอกเข้าไปแล้วจะก่อให้เกิดท้องเสียก็น้อยลง”

ดื่มนมแล้วท้องอืด ท้องเดิน ..ต้องลอง “โยเกิร์ต”

กรณีคนที่ดื่มนม หรือกินอาหารที่ทำจากนมแล้วท้องอืด ท้องเสีย จนเป็นปัญหาทรมานกาย ทรมานใจ บางคนถึงกับต้องเลิกดื่มนมกันไปเลย ซึ่งไม่เป็นผลดีอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ร่างกายขาดแคลเซียมส่งผลให้เป็นโรคกระดูกได้ง่ายๆ คุณหมอจึงแนะนำว่า หากมีปัญหาเหล่านี้ให้ลองรับประทานโยเกิร์ตดูค่ะ

“หลาย ท่านมีปัญหาว่าพอดื่มนม หรือรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น เนย ชีส แล้วจะท้องอืด ท้องเสีย อันนั้นเกิดจากการที่ลำไส้ใหญ่ผลิตน้ำย่อยที่ชื่อว่าแลคเตส (Lactase) น้อยเกินไป ทำให้ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตส (Lactose Intolerance) ซึ่งเป็นน้ำตาลที่อยู่ในนมได้ เมื่อย่อยน้ำตาลในนมไม่ได้ จึงทำให้เกิดภาวะ มีแก๊สในท้อง ปวดท้อง ท้องอืด และท้องเสีย

ภาวะ นี้พบได้ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ จะมีปัญหานี้กันมาก เพราะร่างกายชาวเอเชียจะเป็นแบบนี้ เมื่ออายุเยอะขึ้น ลำไส้ใหญ่จะผลิตน้ำย่อยแลคเตส ได้น้อยลง ซึ่งเป็นไปตามพันธุ์กรรม และไลฟ์สไตล์การทานอาหาร ที่ชาวยุโรปจะชินกับการทานอาหารประเภทนม แต่ในประเทศเราส่วนใหญ่ มักรับประทานนมตอนเด็กๆ เท่านั้นพอโตมาก็เลิกทาน จึงเป็นอีกส่วนที่ทำให้พออายุเยอะขึ้น ร่างกายจะไม่ค่อยผลิตน้ำย่อยแลคเตส ไว้ย่อยน้ำตาลที่มีอยู่ในนม”

เมื่อ ถามว่าตัวช่วยในการสร้างเอนไซม์แลคเตสนี้ สามารถหาได้จากที่ไหนบ้าง คุณหมอนลินีตอบเสียงดังฟังชัดว่า หาได้จากในอาหารประเภทโยเกิร์ตนี่แหละค่ะ

“ตัว ช่วยสร้างเอนไซม์แลคเตสนี้ ในต่างประเทศจะมียาที่ช่วยเพิ่มน้ำย่อยตัวนี้ แต่ในเมืองไทย เท่าที่ทราบยังไม่มียาประเภทนี้จำหน่าย ดังนั้นการจะช่วยสร้างน้ำย่อยตัวนี้ ต้องอาศัยเชื้อจุลินทรีย์จากโยเกิร์ตอย่างเดียวเลยก็ว่าได้ เพราะในอาหารประเภทอื่นจะไม่มีเชื้อจุลินทรีย์ที่ช่วยสร้างเอนไซม์แลคเตสนี้ อยู่”

กินโยเกิร์ตยังไง ให้ถูกวิธี?

“ถ้า ถามว่าต้องทานบ่อยแค่ไหน คงต้องตอบว่า ถ้าทานได้ทุกวันก็จะดี คือ ต้องบอกว่าโยเกิร์ตเป็นอาหาร ไม่ใช่ยา ดังนั้นคงไม่ใช่ว่ากินวันสองวันเห็นผลทันตา เหมือนอย่างเป็นไข้ ทานยาแก้ไข้ก็หาย ก็คงไม่ใช่ เพราะมันต้องใช้เวลา และระยะเวลาในการทานก็ต้องมีความต่อเนื่องด้วย ไม่ใช่กินแค่สองสามวันแล้วก็หยุด อันนั้นก็อาจจะไม่ได้เห็นผลเรื่องการช่วยให้ระบบขับถ่ายดี”

สำหรับวิธีการการรับประทานโยเกิร์ตที่ดีต่อสุขภาพ คุณหมอแนะนำให้เลือกรับประทานโยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์โปรไบโอติก (Probiotics) หรือจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งสังเกตได้จากข้อความที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์ ปริมาณในการรับประทาน คืออย่างน้อย 1 ถ้วย ระยะเวลาติดต่อกัน 14 วันขึ้นไป จึงจะเห็นผล

“ถ้า กรณีปกติที่ร่างกายเราไม่เป็นอะไรเลย จะสามารถทานได้หรือไม่ คำตอบคือ ได้ค่ะ เพราะโยเกิร์ตคืออาหาร เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ จุลินทรีย์ที่มีอยู่ ไม่ทำให้เกิดโทษแน่นอน แถมยังจะช่วยเรื่องสมดุลร่างกาย ช่วยเรื่องภูมิต้านทาน ลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ อย่างเช่นเวลาเราไปกินอาหารที่ อาจจะไม่ระมัดระวัง พลาดไปทานอาหารไม่สะอาด จุลินทรีย์ที่ดีๆ พวกนี้ ก็จะช่วยลดปัญหาความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพได้”

สาเหตุที่โยเกิร์ต เหมาะกับสาวๆ เป็นที่สุด

โยเกิร์ต นั้นเหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะคุณสาวๆ ทั้งหลาย เนื่องจากผู้หญิงเราต้องได้รับปริมาณแคลเซียมที่เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรง มิฉะนั้นเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือน มวลกระดูกของเราจะผุกร่อนเกิดเป็นโรคกระดูกผุได้ง่ายๆ ดังนั้นคุณหมอจึงแนะนำว่า หากสาวคนไหนทานนมตอนเช้าไม่ได้ ก็ให้ทานโยเกิร์ตก่อนในตอนเช้า แล้วช่วงเที่ยง หรือค่ำ ค่อยรับประทานนมสดเสริมแคลเซียมอีกก็ได้ค่ะ

“ใน โยเกิร์ตมีแคลเซียมไม่เท่านม ดังนั้นถ้าถามว่าทานโยเกิร์ตหนึ่งถ้วย จะได้ปริมาณแคลเซียมเท่ากับทานนมในปริมาณหนึ่งถ้วยด้วยมั้ย ก็คงไม่เท่า แต่ก็ถือว่าเป็นอีกทางที่ทำให้ได้รับแคลเซียม และอย่างที่กล่าวไปแล้วว่าโยเกิร์ต ช่วยให้ลำไส้ ย่อยน้ำตาลที่มีในนมได้ ดังนั้นการทานโยเกิร์ตจึงเป็นอีกทาง ที่สร้างสมดุลให้ลำไส้ พร้อมที่จะรับประทานนมได้ง่ายขึ้น”

อีก สาเหตุที่โยเกิร์ตเหมาะกับสาวๆ คือ เรื่องความงามค่ะ แม้อาจารย์หมอนลินี จะบอกว่าเราไม่ได้กินโยเกิร์ตเพื่อให้สวย แต่นั่นก็เป็นผลพลอยได้ส่วนหนึ่งค่ะ

“ประโยชน์ ของโยเกิร์ตสำหรับผู้หญิงนั้น คงต้องบอกว่าไม่ใช่ว่าเราจะกินโยเกิร์ตเพื่อให้สวยนะคะ มันเป็นประโยชน์ทางอ้อมมากกว่า เพราะโยเกิร์ตช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายให้ทำงานเป็นปกติ ดังนั้นถ้าระบบขับถ่ายเราดี สุขภาพก็จะดี ผิวพรรณก็จะผ่องใสตามมาค่ะ”

::ข้อคำนึง ก่อนเลือกซื้อโยเกิร์ต

- ไม่ควรลืมเด็ดขาด ที่จะสำรวจดูวันหมดอายุ ที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์

- บรรจุภัณฑ์ ต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่ขาด ไม่รั่ว หรือบุบ หากมีสภาพไม่ดีก็อย่าเสี่ยงซื้อเพราะรอยตำหนิเหล่านั้นอาจส่งผลต่อคุณภาพของ โยเกิร์ตที่อยู่ภายในได้

- หากเป็นโยเกิร์ตชนิดครีม ก่อนทานต้องพิจารณาดูว่ามีลักษณะข้น ไม่แยกชั้นระหว่างน้ำกับนม
หากเป็นโยเกิร์ตพร้อมดื่ม (นมเปรี้ยวแบบขวด) ต้องไม่มีตะกอนที่ก้นขวด

- แม้จะยังไม่หมดอายุ แต่ก่อนทานควรมีการสำรวจว่าผิดสี ผิดกลิ่นไปจากเดิมหรือไม่ เพราะบางครั้งอาจเกิดการผิดพลาดที่ร้านค้า เก็บไว้ในอุณหภูมิไม่เหมาะสม จนทำให้โยเกิร์ตบูดเน่าก่อนวันหมดอายุที่ระบุไว้ที่บรรจุภัณฑ์ก็เป็นได้

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

ทางออก (ที่ไม่ต้องแยกห้อง) เมื่อคู่รักนอนดิ้น นอนกรน

ทางออก (ที่ไม่ต้องแยกห้อง) เมื่อคู่รักนอนดิ้น นอนกรน

การได้นอนหลับในอ้อมกอดคู่รัก ถือเป็นความสุขที่สำคัญอีกอย่างชีวิตคู่! เป็นเรื่องที่ทราบกันดี แต่พอเอาเข้าจริงๆ หลายคู่มีปัญหา… สามีบางคนนอนกรน ภรรยาบางคนนอนดิ้น ฯลฯ จนคุณที่นอนข้างๆ ต้องตื่นไปด้วย รวมไปถึงเหตุผลร้อยแปด ซึ่งท้ายที่สุดแล้วคู่สามีภรรยาจำนวนไม่น้อย เลือกที่จะนอนกันคนละห้อง เพื่อหวังได้หลับสนิทตลอดทั้งคืน

หาก คุณคือ หนึ่งในคู่รักที่กำลังคิดเช่นนั้น ช้าก่อนค่ะ! อย่าเพิ่งด่วนแก้ปัญหาด้วยวิธีแยกห้องกันนอน เพราะเมื่อไม่นานมานี้ มีบทความทางวิชาการชิ้นหนึ่งซึ่งพิมพ์ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ ได้ออกมาตีแผ่วิธีแก้ปัญหานี้ว่า เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

เนื้อหา ในบทความระบุว่า ปัจจุบันมีคู่รักชาวเมริกันถึง 1 ใน 4 ที่แยกห้องนอนกันแล้ว ขณะที่สมาคมรับสร้างบ้านแห่งสหรัฐอเมริกา ก็ออกมาให้ข้อมูลสมทบว่า ทุกวันนี้มีผู้คนจำนวนมากจ้างให้สร้างบ้าน ที่มีห้องนอนแยกย่อยมากขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ คู่สามีภรรยามีการวางแผนแยกห้องนอนกันเพิ่มขึ้น จนมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2015 จะมีคู่แต่งงานแยกห้องกันนอนมากถึง 60% เลยทีเดียว


รายงาน ระบุว่า ผู้คนส่วนใหญ่ตัดสินใจแยกห้องนอนกับคู่รัก เพราะเชื่อว่า การต้องทนนอนข้างคู่รักที่กรน หรือนอนพลิกตัวไปมา จะทำให้ตัวเองนอนได้ไม่เต็มอิ่ม และเป็นเรื่องที่ทำลายสุขภาพของในระยะยาว ทว่าศาสตราจารย์ Tina B. Tessina นักจิตบำบัด ยืนยันว่าการแก้ปัญหาเรื่องการนอน โดยวิธีแยกห้องนอน ไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะแท้จริงแล้ว มีวิธีแก้แบบอื่นที่ดีกว่านั้น

“มัน จริงที่ว่า การนอนกรนมีส่วนสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคู่รักกลายเป็นความรำคาญ หรือรู้สึกไม่ดีต่อกันได้ แต่สิ่งเหล่านี้มันง่ายมากที่จะหลีกเลี่ยง และหาทางแก้ไข นั่นคือ ถ้าคนใดคนหนึ่งกรน อีกฝ่ายไม่ควรพูดจำตำหนิติเตียนหรือแยกห้องนอนไปเลย แต่ควรร่วมกันหาทางแก้ เช่น การเปลี่ยนไปใช้ ผ้าห่ม หมอน หรือผ้าปูที่นอนนุ่มๆ ซึ่งจะช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น และลดอาการกรนได้”

ที่รักจ๋า มานอนห้องเดียวกันเถอะ!

เมื่อแสดงปณิธานแน่ชัดในการสนับสนุน ให้คู่สามีภรรยานอนห้องเดียวกันซะขนาดนี้ ศาสตราจารย์ Tessina เลยนำเกร็ดดีๆ ที่ระบุถึงประโยชน์ของการนอนด้วยกันมาโน้มน้าวใจ ให้คุณๆ ใจอ่อน จะได้ไม่ทำร้ายคู่รักของคุณด้วยการ แยกห้องนอนกับเขาค่ะ

* มีเซ็กซ์ก่อนนอน ลดอาการกรน มีผลงานวิจัยพบว่า การมีเซ็กซ์กับสามีก่อนนอนนั้น จะทำให้ผู้หญิงเรากรนน้อยลง ขณะที่ในผู้ชายนั้น อาการนอนกรนของเขาก็จะดีขึ้น เมื่อได้นอนข้างๆ ภรรยา เรียกได้ว่า การมีเซ็กซ์ ล้วนอนหลับไปด้วยกันจะทำให้อาการนอนกรนของคุณทั้งคู่ดีขึ้นแน่นอน

* เวลาในห้องนอนคือ เวลาทองแห่งความเข้าใจ นักจิตบำบัด Tessina บอกไว้ว่า “การกอดกันอย่างแนบแน่น แล้วนิ่งไว้ซักพัก คือ สิ่งดีเยี่ยม ที่จะทำให้ชีวิตคู่มั่นคงขึ้น นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทุกคู่รู้ แต่ไม่ค่อยจะทำ อาจเพราะเขินอาย”

ดังนั้นเมื่อคุณได้นอนด้วยกัน จึงเป็นเสมือนเวลาทองอันมีค่าที่คุณจะได้อยู่กันสองต่อสอง ไม่ต้องแคร์สายตาใคร จึงควรใช้ช่วงเวลานี้ให้คุ้ม ที่สำคัญ การได้กลับมาถึงห้องนอนแล้วพบว่ามีใครสักคนอยู่ข้างๆ ให้พูดคุย หยอกล้อ หนุนตักให้หายเหนื่อย มันย่อมสุขใจ และโรแมนติก กว่าการมาถึงเตียงแล้วพบแต่ความว่างเปล่าไร้คนข้างกายเป็นไหนๆ

แต่ สิ่งที่ต้องจำใส่ใจก็คือ การจะทำให้การนอนร่วมกันของคุณและคู่รักเป็นไปอย่างราบรื่น ก็คือต้องท่องไว้เสมอว่า เวลาอยู่ในห้องนอนแสนสุขนี้ ควรจะคุยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของคุณสองคนเท่านั้นนะคะ ไม่ควรจะพูดเรื่องงานเงิน ค่าใช้จ่าย หมา แมว ละครหลังข่าว หรือซุบซิบคนข้างบ้านเวลานี้เด็ดขาด เพราะนอกจากจะทำให้บรรยากาศโรแมนติกหายเกลี้ยงแล้ว ยังอาจกลายเป็นเรื่องที่ฟังแล้วไม่เข้าหู พาลให้ทะเลาะกันก่อนนอนไปซะงั้น

* ห้องนอนคือ สถานที่ส่วนตัวที่มีค่าที่สุด เพราะห้องนอนเพราะเป็นสถานที่ซึ่งคุณจะได้ผ่อนคลาย เป็นตัวเองมากที่สุด ไม่ต้องแอ๊บ ไม่ต้องเก๊ก อยากจะเล่นกุ๊กกิ๊กกับคู่รักแค่ไหน ก็ไม่มีใครเห็น คุณจึงควรใช้สถานที่ส่วนตัวนี้ให้คุ้ม ด้วยการทำให้ห้องนอนไม่ใช่แค่ห้องที่มีไว้หลับเท่านั้น แต่ยังควรทำกิจกรรมรื่นรมณ์อื่นๆ ได้ด้วย เช่น การพูดคุยหยอกล้อ ปรับความเข้าใจกัน ไปจนถึงการมีเซ็กซ์...

สำหรับ ครอบครัวที่มีลูกน้อย ในห้องนอนของลูกๆ ควรจัดให้มีกิจกรรมผูกสัมพันธ์ เช่น เล่านิทาน หรือพูดคุยกับลูกก่อนนอน ก็จะช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับเด็ก และทำให้ครอบครัวของคุณมีความสุขเพิ่มขึ้นมากโขเชียวค่ะ

เมื่อ ครอบครัวมีความสุข ความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายก็ย่อมตามมา คู่รักที่กำลังคิดแยกห้องนอนกัน คงต้องชั่งน้ำหนักสักนิดนะคะ ว่าระหว่างแยกกันนอนเพื่อให้คุณหลับได้เต็มอิ่มแต่ขาดคนข้างกาย หรืออดทนหาทางแก้ไข (ทนนอนสะดุ้งไปก่อน) ทว่าอบอุ่นใจที่มีคนรักอยู่ข้างๆ ทางไหนจะเหมาะกับความต้องการของคู่คุณมากกว่ากัน... ?

เรียบเรียงจาก ไชน์
อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับในการลดน้ำหนัก

เคล็ดลับการทานง่าย ๆ ในการลดน้ำหนัก

1. รับประทานปริมาณให้น้อยลง
ให้ทดลองใช้จานใบเล็ก ๆ ในการรับประทานอาหารแต่ละมื้อดูนะคะ เพราะจะทำให้อาหารดูมากขึ้น นอกจากนี้แล้วให้จำไว้ว่าการรับประทานในปริมาณน้อย ๆ วันละ 4-5 ครั้ง ดีกว่าทานในปริมาณมาก ๆ วันละ 3 ครั้ง

2. จัดอาหารของคุณตามปิรามิด
ให้ลำดับปริมาณอาหารจากมากไปหาน้อย คือ
- มากที่สุด คาร์โบไฮเดรต เป็นอาหารที่สำคัญในการรับพลังงานในแต่ละวัน
- มากผัก ผลไม้ ต้องรับประทานให้เพียงพอ และไม่หวานจัด และอาหารประเภทนี้จะมี วิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยที่ใช้บำรุงร่างกาย
- น้อย เนื้อ นม ไข่ เลือกรับประทานแต่เนื้อแดง และปลา แต่ไม่ควรมากเกิน 150 กรัม 3 ครั้ง/สัปดาห์ และ ปลา 200 กรัม 2 ครั้ง/สัปดาห์
- น้อยที่สุด และ ไขมัน ต้องรับประทานในปริมาณน้อยที่สุด เพราะไขมันมีแคลอรี่เป็น 2 เท่าของคาร์โบไฮเครต และโปรตีน

3. หลีกเลี่ยงน้ำตาล โดยเฉพาะขนมต่าง ๆ
เพราะจะมีไขมัน และแคลอรี่ที่สูงมาก จึงควรทดแทนขนมต่าง ๆ ด้วยผลไม้สดที่ไม่หวานจัด และควรเก็บผลไม้ไว้ในที่ ๆ มองเห็น และหยิบสะดวก

4. ถ้าน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็นครั้งคราว พยายามชดเชยด้วยการออกกำลังกาย
เพราะน้ำหนักที่มาเป็นครั้งคราว อาจก่อให้เกิดความเคยชินจนอาจมาตลอดเลยก็ได้ จึงควรพยายามชดเชยด้วยการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น

5. จำกัดการดื่มแอลกอฮอลล์
เพราะมีแคลอรี่สูงเกือบเท่าไขมันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นเครื่องดื่มที่เหมาะกับการลดน้ำหนักก็คือ น้ำเปล่า นั้นเองค่ะ

6. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทานแล้วหยุดยาก
เช่น ขนมกรอบ ๆ ถั่ว เนยแข็ง เป็นต้น เพราะยิ่งทาน จะยิ่งหยุดไม่ได้

7. หลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้เสียดายอาหารที่เหลือ
อย่างเช่นการซื้อเหมาโหล เพราะราคาประหยัดกว่า แต่คุณอาจต้องมาเสียดายกับอาหารส่วนที่เหลืออยู่ และอาจต้องรับประทานให้หมด ผลที่ตามมาก็คือ 'อ้วน' นั่นเอง

ชาเขียวกับการลดน้ำหนักร่างกาย
การศึกษาในผู้ที่มีน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วนระยะกลางจำนวน 76 คน ที่มี BMI เท่ากับ 27.5ฑ2.7 กก./ม2 และเป็นผู้ที่มีพฤติกรรมที่บริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีนเป็นประจำ
โดยให้กลุ่มที่ทำการศึกษารับประทานอาหารที่มีพลังงานต่ำนาน 4 สัปดาห์ และปฏิบัติต่อเนื่องอีก 3 เดือน ในช่วงที่ติดตามเพื่อควบคุมน้ำหนัก และในช่วง 3 เดือนที่ควบคุมน้ำหนักให้ผู้ที่ศึกษาทุกคนรับประทานชาเขียวที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน (โดยมีสาร epigallocatechin gallate 270 มก. และสารคาเฟอีน 150 มก./วัน) ในขณะที่อีกกลุ่มให้รับประทานยาหลอก
จากการศึกษาพบว่ากลุ่มที่รับประทานชาเขียวน้ำหนักร่างกายลดลง 5.9ฑ1.8 กก.หรือคิดเป็น 7.0ฑ2.1% ซึ่งจากการศึกษาพบว่าผู้ที่นิยมบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีสารคาเฟอีนในขนาดสูง เช่น ชาเขียว สามารถช่วยลดน้ำหนักร่างกายลดมวลไขมัน และรอบเอว ได้มากกว่าผู้ที่บริโภคน้อย

คัดจาก ย่อยข่าวงานวิจัย สำนักงานฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล

หมายเหตุ โปรดอ่าน

สนใจรับชุดทดลองเพื่อ "ควบคุมน้ำหนัก - กระชับสัดส่วน" ด้วยชาร้อน TEA Herb ที่เห็นผลภายใน 7 วัน โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ คลิกที่นี่...ด่วนรับจำนวนจำกัด

ที่มาข้อมูล
http://women.thaiza.com/detail_25824.html
http://www.herbalone.net/index.php?option=com_content&task=view&id=20&Itemid=42

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เขย่ง-เกร็ง-กาม จากรัดเท้าถึงส้นสูง อุบายสวาทกระชับคูหาสวรรค์!

เขย่ง-เกร็ง-กาม จากรัดเท้าถึงส้นสูง อุบายสวาทกระชับคูหาสวรรค์!

แต่ไหนแต่ไรมา สตรีใดมีรูปร่างสัดส่วนเย้ายวนใจเพศตรงข้าม มักถือว่า โชคดีมีรูปเป็นทรัพย์ สมัยก่อนความเย้ายวนนี้ มีทางแก้ไขได้น้อย แต่ปัจจุบันสถานศัลยกรรมปรับโฉมปรุงสวยมีมากมายให้เลือก

สรีระของผู้หญิงสามารถแก้ไขได้ทุกสัดส่วน ทำได้ทั้งตัวว่างั้นเถอะ แต่ยังคงมีในส่วนเดียว ที่ทุกวันนี้ยังคงมีปัญหาทางเทคนิคที่ไม่สมบูรณ์ จุดที่ว่าตรงนั้นคือ คูหาสวาท

ย้อนยุคข้ามประเทศไปจีนโบราณ เริ่มตั้งแต่ จักรพรรดิลี่หยู แห่งราชวงศ์ถัง หลงใหลนางสนมนาม เย่าเหนียง ที่เต้นระบำได้งดงาม จึงบัญชาให้รัดเท้าด้วยแถบผ้า

ก่อกำเนิดประเพณีรัดเท้าของสาวจีน นับแต่นั้นเป็นต้นมา

สาวจีนสูงศักดิ์ผู้ลากมากดี จึงถูกบังคับในตระกูลให้รัดเท้าตั้งแต่อายุ 4-5 ขวบ ด้วยเกิดคตินิยมว่า ดรุณีใดมีเท้าเล็กเหมือนดอกบัว มีค่าควรที่จะได้เป็นฮูหยิน นางสนม หรือฮองเฮา อย่างมิต้องสงสัย

นิยมถึงขั้นว่า ถ้าเท้ายิ่งเล็กยิ่งเยี่ยม เล็กแค่ 3 นิ้วเรียก “ดอกบัวทอง” 4 นิ้วเรียก “ดอกบัวเงิน” เกิน 4 นิ้วเรียก “ดอกบัวเหล็ก”

หากไม่รัดเท้าหรือเท้าโตกว่านี้ หนีไม่พ้นต้องขึ้นคานสถานเดียว โดดเดี่ยวตลอดไป

ว่ากันว่าอุบายนี้ เป็นแผนของฮ่องเต้ ที่ต้องการไม่ให้นางสนมเร้นหนีเดินเหินออกนอกวังได้ง่าย เพราะเท้าที่แสนเล็กย่อมต้องทำให้เดินกระย่องกระแย่ง แบบคนพิการ ไปไหนลำบาก





นั่นเป็นระดับตื้นครับ ระดับลึกที่แท้จริงเบื้องหลังประเพณีก็คือ เป็นอุบายทางกามอันแยบยลของชายโดยแท้ หากลองมาพิศดูร่างกายของหญิง จะพบว่าต้นขาทั้งสองตรงหว่างกลางนั้นเป็นจุดเนินสวรรค์ ซึ่งเพศชายกระสันฝันหายิ่งนัก

ที่ตั้งของอวัยวะส่วนนั้น แน่นอนว่า กล้ามเนื้อต้นขามีส่วนกำหนดเป็นอย่างยิ่ง จะพบว่า หากลองเขย่งเท้าเดินดู กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทั้งหมด มักจะจะตึงเกร็งไปถึงต้นขาโดยอัตโนมัติ

นี่คือ อุบายสวาทของนักเพศศาสตร์จีนคิดค้นขึ้น การเดินเขย่งเกร็งกอยมาแต่วัยเด็ก ย่อมเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่ต่อเนื่องกันแน่นตึง เหมือนนักกีฬาเล่นกล้ามไม่ต่างกัน

และจุดยุทธศาสตร์รักของหญิงแห่งนั้น ย่อมอวบพีแน่นหนั่น อันเป็นคุณสมบัติทางสรีระที่ชายผู้เชี่ยวกามพึงประสงค์ในคุณภาพทางเพศ

ประเพณีเร้นรักอันนี้ยืนยาวมาหลายสมัยนับเป็นศตวรรษ ที่ดรุณีจีนต้องทนอยู่ในความลำบาก ชนิดมีสำนวนจีนกล่าวว่า

“รัดเท้าแต่เด็ก โตขึ้นน้ำตาเล็ดเต็มตุ่ม” เพียงแค่สนองคุณภาพทางเนื้อหนัง เพื่อสร้างความหฤหรรษาทางกามกรีฑาของชายโดยแท้

ชายทุกคนล้วนต้องการสาวตึงเปรี๊ยะเนื้อแน่นหนั่นในความใฝ่ฝันทั้งสิ้น

กลับมาปัจจุบัน การเดินเขย่งบนรองเท้าส้นสูง นับว่ามีส่วนใกล้เคียงกัน เพียงแต่สาวๆ ยุคใหม่จะใส่ส้นสูงต่อเมื่อโตพอสมควรแล้ว และไม่ได้ใส่ทุกเวลา ยามสบายๆ ก็ไม่ยอมทนเมื่อยน่อง จนตะคริวแทบกิน แถมซ้ำยังเสี่ยงน่องโป่ง หรือเส้นเลือดขอดอีกด้วย มันจึงไม่ค่อยได้ผลสมบูรณ์เหมือนสาวจีนรัดเท้าโบราณ ที่สำคัญ สาวปัจจุบันใส่ส้นสูงเพราะแฟชั่น ดีไซน์สวย เหมาะสมตามอาชีพการงาน และเพื่อให้ขาดูเรียวงาม เสริมบุคลิก

ถ้าประเด็นเรื่องกระชับเนินสวาท จะเน้นไปทางเคล็ดลับย่นย่อเทรนด์นิยมยุคนี้ นั่นก็คือ การฝึกขมิบให้เป็นกิจวัตร ซึ่งทำได้ตลอดเวลา ทุกที่ ทุกโอกาส

การขมิบจึงเป็นกลายเรื่องไม่ลับของที่เร้นลับที่สาวสมัยใหม่ บอกกล่าวถ่ายทอดเทคนิคฮาวทูร่วมสมัย โดยได้ยินกันอยู่ ได้รู้กันดี

แต่บางอาชีพของสาวๆ ที่น่าเพ่งเล็งของชายชอบรัก เห็นจะเป็นประเภทนางแบบ นักบัลเล่ต์ หรือนักยิมนาสติก

เพราะที่ว่ามานี้ล้วนเขย่งเกร็งกอยกันเป็นนิจ อาจจะทำให้คุณสมบัติพิเศษนี้ได้รับการดูแลรักษา เป็นเสน่ห์ทางเพศ ที่มีแรงดึงดูดอันฉมัง สำหรับรักร้อนซ่อนเร้น มัดใจคู่รักคู่เคียงได้ชะงัดดี นอกจากรูปร่างที่เย้ายวนแล้ว

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อย่า.(ทำอย่างนี้)....กับคน 1 คน



การที่เราจะคบหา หรือรู้จักใครสักคน ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม

สิ่งหนึ่งที่ควรท่อง ควรจำไว้อยู่เสมอก็คือ "คน" เป็นสิ่งมีชีวิต
ที่มีทั้งด้านบวกและด้านลบ อยู่ในนั้น


อย่าตั้งใจกับคน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของความล้มเหลว


อย่าคาดหวังกับ คน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทุกอย่าง ที่ทุกคนอยากให้เป็น


อย่าให้เวลากับคน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีช่วงเวลาของความเป็นส่วนตัว. . . คนเดียว ....


อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคน 1 คนมากเกินไป
เพราะนั่นจะทำให้เค้าไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตัวเอง


อย่าควบคุมชีวิตคน 1 คนมากเกินไป
เพราะมนุษย์มักจะหาวิธีการแทรกตัว เพื่อออกมาจากกฎที่ถูกกำหนด


อย่าบีบบังคับคน 1 คนมากไปกว่านี้

เพราะถ้าคนๆนั้น หลุดจากภาวะบีบบังคับมาได้
คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกหันหลังให้ในทันที


เธอ... ลองมองดูฉันดีๆ ฉันมีลมหายใจ
ไม่ใช่ภาพวาด ที่จะสวยงามอยู่ตลอดเวลา
ฉันเองก็เป็น " คน" เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 2 ด้าน... เช่นกัน


...อยากรู้จักใครสักคน ต้องหัดเรียนรู้ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง...

ที่มา
http://variety.teenee.com/foodforbrain/28057.html

สวมรองเท้าส้นสูงบ่อยๆ ทำกล้ามเนื้อน่องหดสั้น

สวมรองเท้าส้นสูงบ่อยๆ ทำกล้ามเนื้อน่องหดสั้น



ภาพสแกนเท้าสาวๆ ที่ใส่ส้นสูง (บีบีซีนิวส์)



แม้จะช่วยเสริมให้ดูเซ็กซี่แต่ “รองเท้าส้นสูง” กลับสร้างปัญหาให้สาวๆ ต้องเจ็บปวดทรมานเมื่อกลับมาใส่รองเท้าส้นเตี้ย ซึ่งนักวิจัยอังกฤษพบคำตอบว่า เมื่อสวมรองเท้าส้นสูงบ่อยๆ จะทำให้กล้ามเนื้อน่องหดสั้นลงมากกว่าคนที่ไม่สวมรองเท้าส้นสูงถึง 13%

จากการสำรวจกล้ามเนื้อน่องของกลุ่มผู้สวมรองเท้าส้นสูงบ่อยๆ พบว่า กล้ามเนื้อของกลุ่มตัวอย่างนี้หดสั้นโดยเฉลี่ย 13% เมื่อเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าส้นสูง งานวิจัยที่ได้เผยแพร่ลงวารสารเอกซ์เพอริเมนทัลไบโอโลจี (Experimental Biology) นี้ พบด้วยว่ารองเท้าส้นสูงทำให้เอ็นในน่องแข็งมากขึ้น

สำหรับปัญหาดังกล่าวบีบีซีนิวส์ระบุว่าผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ออกกำลังยืดเส้นซึ่งจะช่วยต้านผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับการสวมรองเท้าส้นสูงซึ่งมีการพูดถึงกันมานานว่าการสวมรองเท้าประเภทนี้จะทำให้กล้ามเนื้อสั้นลง

ศ.มาร์โค นาริซิ (Prof. Marco Narici) ซึ่งเป็นผู้นำในการศึกษาครั้งนี้จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์เมโทรโพลิแทน (Manchester Metropolitan University) สหราชอาณาจักร กล่าวว่า ในช่วงปี 1950 นั้นเลขานุการที่สวมรองเท้าส้นสูงต่างบ่นคล้ายๆ กันว่าพวกเธอเดินด้วยเท้าเปล่าได้ลำบากเมื่อถอดรองเท้าส้นสูงออก แต่ไม่มีใครเลยที่ศึกษาอย่างจริงจังว่าเกิดอะไรขึ้นกับกล้ามเนื้อ

ในการทดลองนี้ทีมวิจัยได้คัดเลือกอาสาสมัคร 11 คนจากกลุ่มตัวอย่างผู้หญิง 80 คน ซึ่งอาสาสมัครที่เลือกนั้นสวมใส่รองเท้าที่มีส้นสูง 5 เซนติเมตรอยู่เป็นประจำมานาน 2 ปีหรือมากกว่า และเป็นผู้ที่รู้สึกลำบากเมื่อเดินเท้าราบตามปกติ

จากการสแกนด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ (MRI) ไม่พบความแตกต่างของขนาดกล้ามเนื้อน่องระหว่างกลุ่มผู้หญิงที่สวมรองเท้าส้นสูงและกลุ่มผู้หญิงที่สวมรองเท้าส้นเตี้ย แต่จากการสแกนด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวด์เผยให้เห็นว่าเส้นใยกล้ามเนื้อน่องของผู้หญิงที่สวมรองเท้าส้นสูงนั้นสั้นกว่าผู้หญิงที่ไม่สวม

เมื่อทีมวิจัยขอให้อาสาสมัครนอนบนเก้าอี้นอน พวกเขาสังเกตว่ายิ่งกล้ามเนื้อน้องของผู้หญิงที่สวมรองเท้าส้นสูงอยู่เป็นประจำนั้นยิ่งหดสั้น มุมตรงส้นเท้าของพวกเธอก็ยิ่งกว้างขึ้นเช่นกัน และในการศึกษาส่วนสุดท้ายทีมวิจัยพบอีกว่าผู้ที่สวมรองเท้าส้นสูงนั้นจะมีกล้ามเนื้อน่องที่หนาและสั้นกว่าคนที่สวมรองเท้าส้นเตี้ย

ศ.นาริซิกล่าวว่า นั่นเป็นสาเหตุให้เดินด้วยเท้าราบไม่สะดวก เพราะเส้นเอ็นไม่สามารถยืดได้เต็มที่ แต่เขาก็ไม่คิดว่าผู้หญิงควรจะยอมแพ้ต่อการสวมรองเท้าส้นสูง

“แฟชันเป็นสิ่งที่ตั้งใจทำให้รู้สึกไม่สบายอยู่แล้ว และไม่มีผู้หญิงคนไหนในการศึกษาครั้งนี้ยอมแพ้ที่จะสวมรองเท้าส้นสูงเลย เราต้องการที่จะให้คำแนะนำในการปฏิบัติ และผมจะแนะนำเพียงการออกกำลังยืดเส้นยืดสายเพื่อลดผลกระทบบางอย่างจากการเปลี่ยนแปลงนี้” ศ.นาริซิกล่าวพร้อมแนะนำว่ามีหนึ่งเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้สวมรองเท้าส้นสุง นั่นคือการเดินด้วยปลายเท้าและใช้ราวจับเพื่อทรงตัวระหว่างยกตัวด้วยส้นเท้าให้มากเท่าที่จะทำได้ก่อนจะยืนขึ้นอีกครั้ง

แซมมี มาร์โก (Sammy Margo) นักกายภาพบำบัดและโฆษกสมาคมกายภาพบำบัดชาร์เตอร์ด (Chartered Society of Physiotherapy) กล่าวว่าการศึกษานี้ได้ย้อนกลับไปค้นสิ่งที่พวกเขาสงสัย และคำแนะนำที่จะให้แก่สาวๆ ไม่ใช่ให้สวมรองเท้าส้นเตี้ยตลอดเวลา แต่ให้สวมรองเท้าที่มีความสูงของส้นที่หลากหลาย เพื่อให้กล้ามเนื้อน่องได้ทำงานผ่านการเคลื่อนที่ที่หลากหลาย แต่เขาเองไม่อาจพูดได้ว่าพบปัญหากล้ามเนื้อน่องมากขึ้นในผู้หญิงที่สวมรองเท้าส้นสูง




ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อันตราย!!.....ภัยร้ายจากโบรชัวร์แจกฟรี

อันตรายจากเรื่องที่เราคิดว่าไม่น่าจะมี..เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็วางใจไม่ได้เนาะ

อ่านไว้เตือนตนเองและคนที่เรารัก เป็นอุทาหรณ์

กันไว้ดีกว่าแก้ครับ

อันตราย!!.....ภัยร้ายจากโบรชัวร์แจกฟรี

คนมาแจกโบรชัวร์ก็ต้องระวังนะเรื่องคนเอาเอกสารหรือโบร์ชัวร์มาแจกตามห้างก็น่ากลัวนะ ต้องระวังด้วย เมื่อก่อนก็จะรับๆ ไว้เพราะสงสารคนแจก แต่ไม่กี่เดือนนี่เองน้องที่ทำงานเก่าเพิ่งโดนไปที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง

เรื่องก็คือเค้าจะไปซื้อของใช้เข้าบ้าน ไปกันสามคน พ่อ แม่ ลูก ตัวน้องผู้หญิงเข้าไปซื้อของใช้และให้สามีพาลูกไปรอ และไปเล่นที่บ้านบอล พอเค้าซื้อของเสร็จมาหาสามีที่บ้านบอล มองหาลูกในบ้านบอลก็ไม่มีแล้ว สามีก็นั่งอยู่ที่หน้าบ้านบอลที่เดิม เรียกอยู่สักพักถึงจะรู้สึกตัว สามีรู้สึกตัวก็ตกใจมากที่รู้ว่าลูกหายไปแล้ว

เค้าบอกว่า ขณะนั่งดูลูกเล่นอยู่ดีๆ ก็มีคนเดินเข้ามาแจกโบรชัวร์ให้อ่าน ก็เลยรับไว้แล้วพอเปิดปุ๊ป ก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลยมารู้ตอนที่ภรรยามาเรียกนี่แหละ เค้าหากันให้ทั่วห้างเลยแหละ แต่เป็นโชคดีของครอบครัวนี้มากๆ เพราะก่อนที่จะเข้าไปซื้อของเค้าแวะซื้อขนมไทยตรงทางเข้าห้าง แล้วแม่ค้าขนมก็จำครอบครัวนี้ได้ แม่ค้าเล่าว่าเด็กออกมากับผู้ชายคนนึง แต่เด็กร้องไห้เสียงดังลั่นเลย ก็เลยเป็นที่สังเกตแม่ค้าก็เลยเรียกไว้แล้วถามหาพ่อแม่เด็ก ระหว่างนั้นคนร้ายก็เลยชิงหนีไป... คิดดูสิ ถ้าแม่ค้าจำเด็กไม่ได้ หรือถ้าคนร้ายมันทำให้เด็กหมดสติแล้วทำทีเป็นเด็กหลับแล้วอุ้มไปล่ะ

ไม่อยากคิดเลยว่าตอนนี้ครอบครัวนี้จะเป็นยังไง ตอนนี้น้องที่ทำงานเก่าที่เป็นแม่เด็กยังขวัญผวาไม่หายเลย กลัวไปหมด โชคดีมากๆ บุญช่วยจริงๆ

อีกกรณีหนึ่ง

อันตราย!...อย่ารับของจากคนแปลกหน้า

นอกจากยาป้ายแล้วยังมียาอีกชนิดหนึ่งที่เพื่อนเราเคยเกือบโดนบนรถเมล์สาย 47 ตอนนั้นเขานั่งรถเมล์อยู่คนเดียวกำลังจะกลับบ้าน แล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีผู้ชายมองอยู่ข้างหลังสองสามคน พอถึงป้ายราชดำเนินก็มีผู้ชายหนึ่งในนั้นเดินมาหาเค้าแล้วยื่นกระดาษที่พับไว้แผ่นนึงให้เค้า แต่เค้าไม่ได้รับ เพราะปกติเป็นคนขี้ระแวงอยู่แล้ว

แต่ชายคนนั้นก็คะยั้นคะยอให้เค้ารับให้ได้ แต่เค้าก็ไม่ยอมรับอยู่ดี คนกลุ่มนั้นเลยรีบลงจากรถพร้อมกับมองขึ้นมาที่เค้าด้วยท่าทีหงุดหงิด

พอกลับถึงบ้านเพื่อนเราก็เล่าให้พ่อแม่ฟังถึงเหตุการณ์ที่ได้เจอมา พ่อเค้าตกใจมาก เพราะเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับคนแถวบ้านแล้ว พ่อเค้าเล่าว่า เพื่อนบ้านที่เจอเหตุการณ์นี้ พอรับกระดาษแผ่นนั้นมาเปิดดูก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย มารู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่ที่สนามหลวงแล้ว แต่ไม่มีของอะไรติดตัวเลย ทั้งกระเป๋าสตางค์ สร้อยคอ ทุกอย่างหายหมด แต่ไปแจ้งความก็ทำอะไรใครไม่ได้

สรุปว่านั่นคือยามึนอีกชนิดนึง มีลักษณะเป็นผงๆ เมื่อเปิดมามันก็จะฟุ้งทันที ใครโดนยานี้เข้าไปอาการจะคล้ายๆยาป้าย ยังไงก็ระวังตัวกันหน่อยนะ ภัยอันตรายอีกรูปแบบหนึ่ง



ที่มา
- http://women.sanook.com/อันตราย.....ภัยร้ายจากโบรชัวร์แจกฟรี-924137.html
- http://women.sanook.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2...%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-921846.html

"ตกขาว" สัญญาณสุขภาพที่สังเกตได้

"ตกขาว" สัญญาณสุขภาพที่สังเกตได้


เอ๋..อะไรเนี่ยทำไม มีมูกใสๆไหลออกมาจากช่องคลอดล่ะ เราเป็นอะไรหรือเปล่านะ หรือว่าเราเป็นโรคกันแน่เนี่ย!! อ่ะๆ สาวๆ อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ รู้ไว้เลยว่านั่นคือ "ตกขาว" ไม่ใช่ สิ่งที่น่ารังเกียจอย่างที่คิดนะคะ แต่เป็นสัญญาณสุขภาพผู้หญิงที่เพื่อนๆ สามารถสังเกตได้ด้วยตัวเอง......

Q : ตกขาวคืออะไร

A : เป็นของเหลวไหลออกมาจากช่องคลอด อาจมีลักษณะมูกใส สีขาวขุ่น หรือสีเหลืองอ่อนก็เป็นได้ค่ะ จะว่าไปแล้วผู้หญิงกับตกขาวเป็นของคู่กัน เพราะตกขาวเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ไม่ได้หมายถึง การเป็นโรคหรือเป็นมะเร็ง หรือผิดปกติแต่อย่างใด แต่เป็นสัญญาณสุขภาพทางเพศ สุขอนามัยส่วนตัว ทั้งนี้ตกขาวอาจเป็นปกติ หรือไม่ปกติก็ได้ บางช่วงเวลาอาจมีปริมาณมากขึ้นเล็กน้อยและมีลักษณะลื่นใส เช่น ช่วงก่อนและหลังมีรอบเดือน ช่วงไข่ตก หรือในภาวะตั้งท้อง

Q : สุขภาพทางเพศของผู้หญิงสังเกตจากตกขาวได้อย่างไร

A : เมื่อเพื่อนๆ มีอาการตกขาวเป็นน้ำหล่อลื่นไหลออกมาจากช่องคลอด นั่นแสดงถึงสุขอนามัยส่วนตัวมีภาวะสมดุลและสามารถทำความสะอาดตัวเองได้ค่ะ นอกจากนี้ตกขาวยังช่วยให้รู้ได้ว่าระบบสืบพันธ์ภายในของผู้หญิงนั้นเกิดการ ติดเชื้อหรือไม่ โดยสาวๆ สังเกตได้จากสี กลิ่นของตกขาว ตลอดจนอาการผิดปกติอื่นๆ เช่น คัน ปวดเจ็บช่องคลอด ปวดท้องรุนแรง มีไข้ เป็นต้น แน่นอนว่าถ้าเป็นอาการตกขาวปกติ สีจะไม่เปลี่ยน ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีเศษเนื้อเยื่อเจือปนหรือเป็นฟองค่ะ

Q : ถ้าตกขาวเปลี่ยนสีแสดงให้เรารู้ว่า...

A : ถ้าวันดีคืนดีเรามีตกขาวผิดปกติ ซึ่งบางคนอาจมีตกขาวขุ่นข้นเป็นครีม ขณะที่บางคนอาจมีสีเทาอ่อน สีเขียวขุ่น และมีกลิ่นเหม็น มีอาการผิดปกติร่วมด้วยแสดงว่ามีการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์ควรไปพบคุณหมอ ค่ะ โดยคู่มือรู้จักตัวเองหรือยัง?ของแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สรุปสาเหตุการติดเชื้อดังกล่าวเกิดได้จาก การติดเชื้อภายใน การติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ และการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์

Q : น้องจิ๋มผู้หญิงมักติดเชื้ออะไรบ้างนะ

A : สุขอนามัยทางเพศของผู้หญิงมักติดเชื้อราแคนดิด้าที่ช่องคลอด ซึ่งเจ้าเชื้อพวกนี้ปะปนกับแบคทีเรียชนิดดีที่อยู่ในร่างกายของเราชื่อแลคโต บาซิลัส คอยคุมเชื้อราไม่ให้ทำร้ายช่องคลอด ส่งผลให้เกิดการอักเสบบริเวณจุดซ้อนเร้นเพราะแบคทีเรียมีจำนวนมาก หรือแม้แต่การเป็นพยาธิ ที่เป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย


เพียงแต่ผู้ชายเป็นแล้วไม่มีค่อยอาการ ขณะที่ผู้หญิงเมื่อได้รับเชื้อจากคู่จะมีอาการตกขาวมีกลิ่นเหม็นและเปลี่ยน สี มีอาการคันแสบระคายเคืองเวลาปัสสาวะ เท่านั้นยังไม่พอผู้หญิงยังเสี่ยงติดเชื้อหนองในได้อีกจากการมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ป้องกัน หรือการสัมผัสเชื้อหนอในโดยตรง อาการเหล่านี้หากเกินที่จะดูแลตัวเองได้ควรไปพบแพย์โดยเร็วเพื่อทำการรักษา แต่หากเพียงคันหรือมีการระคายเคืองเพราะใช้น้ำยาล้างจุดซ้อนเร้น ควรหยุดใช้แล้วหันมาใช้น้ำเปล่าล้างทำความสะอาดแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่เพื่อนๆ สามารถดูแลตัวเองได้ในเบื้องต้นค่ะ


Q : เวลารู้สึกคันที่บริเวณอวัยวะเพศเพราะเหตุใดแล้ว ควรดูแลสุขภาพน้องจิ๋มอย่างไรดี

A : อาการคันบริเวณจุดซ้อนเร้นอาจเกิดจากการระคายเคืองหรืออาจติดเชื้อในระบบสืบ พันธ์ ไม่ได้แสดงว่าเราเป็นผู้หญิงไม่ดีนะคะ แต่เพราะผู้หญิงเรามักไม่ถูกสอนให้รู้จัก ‘จิ๋ม' จึงไม่รู้ว่าควรดูแลตัวเองอย่างไร วันนี้มี 7 วิธีดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากการติดเชื้อมาฝากกันค่ะ


1. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศ สัมพันธ์
2. ปัสสาวะทุกครั้งทั้งก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์
3. ล้างอวัยวะเพศภายนอกทุกครั้งหลังมีเพศสัมพันธ์
4. ไม่สวนล้างช่องคลอด เพราะการสวนล้างช่องคลอดจะไปทำลายน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติที่มีประโยชน์
5. ไม่ใช้สมุนไพรที่ทำให้ช่องคลอดแห้ง เพราะจะทำให้ระคายเคืองได้ง่ายในขณะมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายไปด้วย
6. ไม่ใส่กางเกงที่รัดหรือคับจนเกินไป เพราะจะทำให้บริเวณอวัยวะเพศอับชื้นและเสียดสีกับกางเกง
7. ตากชุดชั้นในในที่โล่งแจ้ง โดนแสงแดดเพื่อฆ่าเชื้อ อย่าตากในห้องน้ำหรือใต้ชายคา

ที่มา : talkaboutsex

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ทำสมุนไพรหน้าใสง่ายๆ ตำรับ "วิทยาลัยในวัง"

ทำสมุนไพรหน้าใสง่ายๆ ตำรับ "วิทยาลัยในวัง"




สำหรับสาวๆ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ วัยใด หรือกระทั่งหนุ่มๆ เจ้าสำอางก็ตาม เชื่อว่าทุกคนปรารถนาอยากมีใบหน้าขาวใส ไร้สิวฝ้า ไร้รอยด่างดำ ไม่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย ซึ่งปัจจุบันคนส่วนใหญ่จะแก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าและเพิ่มความขาวใสเต่งตึงด้วยการเลือกซื้อเครื่องสำอางยี่ห้อดียี่ห้อดังจากต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีราคาแพง และเป็นสารเคมีสังเคราะห์ ที่เป็นพิษทั้งต่อสตางค์ในกระเป๋าและอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งของการสะสมสารเคมีในร่างกายไปด้วย ทั้งยังไม่นับความเสี่ยงในการแพ้เครื่องสำอางนั้นๆ ที่อาจจะถึงขั้นทำลายผิวหน้าของคุณ แทนที่จะช่วยบำรุงอีกด้วย

ปัญหาดังกล่าว มีทางแก้ที่จะมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้สาวๆ และหนุ่มๆ ผู้รักสวยรักงามและชิงชังริ้วรอยแห่งวัยบนใบหน้าจนอยากจะกำจัดมันออกไป...

อาจารย์อมรศรี ลีลาปัญญาภรณ์ วิทยากรพิเศษด้านเครื่องหอม ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภิเษก (วิทยาลัยในวัง) เผยสูตรสมุนไพรสำหรับบำรุงผิวพรรณว่า จริงๆ มีหลายสูตรที่ผู้หญิงในวังสมัยก่อนใช้บำรุงผิวหน้า ผิวพรรณให้ขาวนวลเนียนไปทั้งตัว โดยครั้งนี้ได้นำสูตรสมุนไพรที่ทำง่ายๆ ได้เองที่บ้านมาแบ่งปัน 1 สูตร เป็นสูตรที่มีส่วนผสมของสมุนไพร 7 อย่าง

"ส่วนผสมเหล่านี้ซื้อหาได้ที่ร้านขายยาแผนไทยทั่วไป ได้แก่ ว่านนางคำ 1 ขีด , ไพล 1 ขีด ,ขมิ้นอ้อย 1 ขีด ,ขมิ้นชัน 1 ขีด ,ดินสอพองสตุ 5 ขีด ,ทานาคา 3 ขีด และกวาวเครือขาว 3 ขีด ถ้าจะให้แนะนำร้านซื้อสมุนไพรเหล่านี้ แนะนำให้ซื้อแบบสกัดสำเร็จรูปจากร้านเวชพงษ์ (แยกวัดตึก) เพราะเป็นสมุนไพรที่ใหม่ และจากประสบการณ์ที่เคยซื้อคือค่อนข้างเก่าแก่และไม่หลอกลวงผู้บริโภค โดยส่วนผสมของสมุนไพรแต่ละชนิด จะให้สรรพคุณแตกต่างกันไป อย่างกวาวเครือ จะช่วยให้หน้าเด้ง ส่วนทานาคา ช่วยลดริ้วรอย ว่านนาคำ ช่วยทำให้ผิวสีทอง (สีน้ำผึ้ง) เป็นต้น"

ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องหอมรายนี้อธิบายต่อว่า เมื่อซื้อสมุนไพรเหล่านี้มาแล้ว ให้นำทุกอย่างมาคลุกเคล้ากันในชามอ่างจนเป็นเนื้อเดียวกัน สิ่งที่ต้องระวังก็คือต้องใช้ภาชนะกระเบื้องหรือแก้ว ห้ามใช้ภาชนะพลาสติกอย่างเด็ดขาด เนื่องจากสมุนไพรบางตัวจะมีปฏิกิริยากับพลาสติก และอาจทำละลายจนกลายเป็นสารปนเปื้อนได้ จากนั้นเมื่อคลุกเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน ให้แบ่งส่วนที่จะใช้ไว้ ส่วนที่เหลือเก็บใส่ขวดแก้วปิดฝาให้สนิท สามารถเก็บไว้ได้นาน 2 ปี อย่างไรก็ตาม ถ้าใช้เพียงคนเดียว หรือ 2 คน ขอแนะนำซื้อลดลงอย่างละครึ่ง

"สมุนไพรตำหรับหน้าใสนี้เป็นตำหรับชาววัง สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ใช้ขัดตัวก็ได้ ส่วนวิธีการใช้กับใบหน้า ให้นำสมุนไพรที่ผสมแล้วตักใส่ภาชนะที่สะอาดกะว่าพอใช้ครั้งเดียว จากนั้นเราตัดสินใจเลือกว่าจะผสมด้วยน้ำเปล่า น้ำผึ้ง นมสด หรือโยเกิร์ต ที่เหมาะกับสภาพผิวของเรา เพราะส่วนผสมที่เป็นน้ำที่เราต้องเลือกนี้ จะมีผลต่อผิวต่างกัน เช่นน้ำผึ้งจะเหมาะกับคนผิวหน้าแห้ง ช่วยสมานแผล เช่นหน้าแตก ลอก รอยแผลสิว ในขณะที่โยเกิร์ตและนมสดจะช่วยให้ผิวหน้านุ่มขึ้น"

สำหรับขั้นตอนการพอกสมุนไพรสูตรเด็ดนี้ อ.อมรศรีแนะนำว่า ก่อนจะทาสมุนไพรให้ล้างหน้าให้สะอาด จากนั้นนำมาทาทิ้งไว้จนรู้สึกสมุนไพรหมาดๆ โดยจะใช้เวลาประมาณ 15-30 นาทีขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนว่าผิวแห้ว ผิวมัน หรือทีโซน หลังจากนั้นค่อยๆ ใช้มือขัดผิวใบหน้าเบาๆ ให้ทั่วประมาณ 5 นาที จากนั้นล้างน้ำโดยใช้โฟมล้างหน้า ล้างจนกว่าใบหน้าจะสะอาด หากล้างสมุนไพรไม่เกลี้ยงสมุนไพรจะตกค้างไปอุดรูขุมขนจะทำให้สิวขึ้นแทนที่ใบหน้าใสปิ๊ง

“การพอกสมุนไพร ให้สังเกตอย่าให้หนาจนเกินไป แค่ทาบางๆ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งทำครั้งแรกๆ เพื่อให้เวลาผิวปรับสภาพทีละเล็กทีละน้อย อย่างไรก็ตาม ถ้าใครทำแล้วรู้สึกว่ามีเม็ดผื่นขึ้นล่ะก็ ให้หยุดใช้ทันที เพราะอาจจะแพ้สมุนไพรตัวใดตัวหนึ่ง ทั้งนี้ ตำหรับนี้ยังนำมาขัดผิวพรรณตามร่างกายได้ด้วย ใช้น้ำ หรือน้ำมะขามเปียกที่เจือจาง”

อ.อมรศรีทิ้งท้ายด้วยว่า การขัดสมุนไพรใบหน้าให้ได้ผลว่า การบำรุงผิวพรรณให้สวยใส อย่าใจร้อน ต้องใช้เวลาแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำสัปดาห์ละ 2 ถึง 3 ครั้งก็พอแล้วเพื่อให้ผิวค่อยๆ ปรับสภาพ พอทำไประยะหนึ่งให้สังเกตผิวพรรณของตัวเอง หรือลองใช้มือลูบไล้ใบหน้าจะพบว่ารูขุมขนจะเล็กลง ผิวพรรณจะนุ่มเนียน รอยด่างดำ จะค่อยๆ จาง

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มีเซ็กซ์ ดียังไง?!

มีเซ็กซ์ ดียังไง?!



ที่ Marvin Gaye (นักร้องผิวหมึกผู้โด่งดัง เข้าของอันดับที่ 6 ของนักร้องที่เยี่ยมที่สุดตลอดกาลแห่งนิตยสารโรลลิ่งสโตน และยังติดอันดับ 18 ของการจัดอันดับ 100 ศิลปินที่เยี่ยมที่สุดตลอดกาล) ร้องเนื้อหาในเพลง “Sexual Healing” (เพลงนี้ได้รับรางวัลแกรมมี่ด้วย) นั่นเป็นเพียงความจริงครึ่งหนึ่ง!

การมีเพศสัมพันธ์ หรือชอบเรียกง่ายๆ ว่า เมคเลิฟ(make love) พูดชัดๆ ว่า มีเซ็กซ์(sex) นอกจากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ให้ความเพลิดเพลินอันยอดเยี่ยม และใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกันกับคู่ของคุณแล้ว การมีกิจกรรมบนเตียงยังช่วยเผาผลาญแคลอรี่(calories), ผ่อนคลายความตึงเครียด, และทำให้หลับง่าย

นั่นเป็นเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่ ซึ่งถือว่า ยังน้อยไป

เพราะจริงๆ แล้ว การมีเซ็กซ์กับคนที่คุณรักสามารถทำให้สุขภาพของคุณกับเขา/เธอแข็งแรงสมบูรณ์ขึ้นอีกเยอะเลย เรามีข้อมูลจากการทดลองวิจัยของมหาวิทยาลัยชั้นนำในอเมริกา-ยุโรปมาบอก…

เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

ถ้าคุณมีเซ็กซ์แบบปลอดภัยอย่างพอเหมาะพอควร คุณจะไม่ป่วย

ผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Wilkes ที่ฟิลาเดเฟีย พบว่า นักศึกษาผู้หมั่นกุ๊กกิ๊กกับแฟน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์จะมีระดับภูมิคุ้มกันA (IgA) สูงขึ้นอย่างชัดเจน ยังผลให้ร่างกายสามารถต่อต้านไข้หวัดธรรมดาตลอดจนไข้หวัดใหญ่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับนักศึกษาที่ไม่เคยมีเซ็กซ์หรือมีเซ็กซ์มากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์


บรรเทาอาการปวดต่างๆ

การกระตุ้นปากมดลูกทำให้เกิดความสามารถในการต่อต้านอาการปวดต่างๆ ทั้งนี้เนื่องจากการหลั่งสารความสุข หรือที่เราคุ้นเรียกว่า สารเอ็นโดรฟิน(Endorphins)

ดร.Beverly Whipple มหาวิทยาลัย New Jersey มีความเห็นพ้องตรงกับสองนักเขียนระดับด็อกเตอร์: Barry Komisaruk กับ Carlos Beyer-Flores ทั้งสองท่านเขียนในหนังสือ The Science of Orgasm (ศาสตร์แห่งการบรรลุจุดสุดยอด) ว่า

“เมื่อผู้หญิงได้รับการกระตุ้นจุด G-spot (จุดกระสัน) และถึงจุดสุดยอด อาการปวดสามารถได้รับการบรรเทาถึง 100% ขณะที่ผู้หญิงที่ได้รับกระตุ้นจุดกระสันแล้วมีความสุขสุดเสียว แม้ไม่ไคลแมกซ์(climax ก็หมายถึง บรรลุจุดสุดยอด) อาการปวดก็ได้รับการบรรเทาลง 80%”

นั่นหมายความว่า การเล้าโลมทางเพศ หรือแม้แต่การเล่นผีผ้าห่มกับคนรัก สามารถบรรเทาอาการปวดหัว, ปวดประจำเดือน, ปวดข้อ, รวมทั้งปวดเรื้อรัง …อาการปวดต่างๆ ทุเลาลงตั้งแต่เป็นเวลาหลายนาทีถึง 24 ชั่วโมงเชียวล่ะ

มีความสุขขึ้น ชีวิตยืนยาวขึ้น

ความกระตือรืนร้นในชีวิตทางเพศทำให้ชีวิตแต่งงานมีความสุขขึ้น อธิบายชัดๆ ก็คือ ความพึงพอใจทางเพศเชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตทั้งหมด และเพิ่มจิตสำนึกในความเป็นอยู่ที่ดีทั้งชายหญิงทุกช่วงวัย

สำหรับผู้ชาย มีผลให้ชีวิตยืนยาวขึ้นด้วยซ้ำ จากการศึกษาอย่างต่อเนื่อง 10 ปีของนักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Bristol ประเทศอังกฤษ ทำการตรวจสอบผู้ชายช่วงอายุระหว่าง 45 ถึง 59 ปีใน South Wales จำนวน 918 คน ในประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการถึงจุดสุดยอดบ่อยๆ กับความตาย ได้ผลสรุปว่า ผู้ชายที่ถึงจุดสุดยอดบ่อยๆ (สัปดาห์ละ 2 ครั้งหรือมากกว่า) เป็นเวลามากกว่า 10 ปี จะมีอัตราเสี่ยงต่อความตายต่ำกว่าผู้ชายที่บรรลุจุดสุดยอดน้อยกว่า 1 ครั้งต่อเดือน 50% แน่ะ

ผู้หญิงวัยทองซึ่งมีเซ็กซ์บ่อยๆ ประมาณเดือนละ 3 ครั้งหรือมากกว่า สามารถช่วยป้องกันภาวะช่องคลอดตีบและแห้ง เหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ ผู้หญิงที่มีกิจกรรมบนเตียงสม่ำเสมอทำให้มีการไหลเวียนของเอสโตรเจน (Estrogen เป็นฮอร์โมนของผู้หญิง) ภายในทั่วร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น แล้วมันก็ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อภายในช่องคลอด ไงล่ะ

ส่วนผู้ชายที่ชักว่าวบ่อยๆ ไม่เพียงแต่เชื่อมโยงกับหน้าที่ทางเพศที่ดีขึ้นตามวัยแล้ว ยังลดภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย ในการศึกษาของนักวิจัยแห่งสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบว่า ผู้ชายที่ช่วยตัวเองให้สำเร็จความใคร่เดือนละ 21 ครั้งหรือมากกว่า จะมีอัตราเสี่ยงต่อการพัฒนามะเร็งต่อมลูกหมากต่ำลง 33% เมื่อเทียบกับชายที่หัตถกามกิริยาเพียงเดือนละ 4-7 ครั้ง

กระตุ้นฮอร์โมน

ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ (ช่วงไม่มีประจำเดือน) มีแนวโน้มรอบเดือนมาอย่างสม่ำเสมอขึ้น, อุณหภูมิร่างกายปกติขึ้น, และระดับเอสโตรเจนก็สูงขึ้นกว่าสาวๆ ที่ไม่ค่อยมีเซ็กซ์

ดร.Winnifred Cutler ผู้ก่อตั้งสถาบัน Athena เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของผู้หญิงในฟิลาเดเฟีย กล่าวว่า “ผู้หญิงผู้มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอทุกสัปดาห์จะมีน้ำมีนวลมากขึ้นและแก่ช้าลง” เมื่อก้าวเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน สาวใหญ่วัยทองเหล่านี้ก็จะมีอาการวูบวาบน้อยลง ความหนาแน่นของมวลกระดูกมากขึ้น แถมเส้นโลหิตแข็งแรง

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การทำรักกับคนเลิฟเป็นประจำ นอกจากทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งกายและใจด้วย




ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สุดยอดนิสัยขี้… ของผู้หญิง ที่ผู้ชายหน่ายหนี

สุดยอดนิสัยขี้… ของผู้หญิง ที่ผู้ชายหน่ายหนี



ด้วยนิสัยผู้หญิงมักจู้จี้จุกจิก คิดเล็กคิดน้อย เจ้านิสัยขี้งอน ขี้ใจน้อย ขี้หึง ขี้หวง ขี้โมโห ขี้วีน ขี้ฉุนเฉียว ฯลฯ เหล่านี้ผู้ชายเขาพอเข้าใจได้ พอมีบ้างเป็นน้ำจิ้มในชีวิตคู่ ก็อาจทำให้ชีวิตรักระหว่างคุณกับเขามีสีสันบ้าง (แต่อย่าเยอะเกิน ขอเตือน!)

ทว่านิสัยขี้…อีกบางประเภทนี่สิ ที่ผู้ชายเขาพูดขึ้นมาเลยว่าสุดทนจริงๆ หากคุณสาวๆ ทำบ่อยๆ ซ้ำๆ ซากๆ ใส่พวกเขา มันอาจสะสมจนเป็นแรงผลักดันให้ผู้ชายข้างกายเผ่นออกจากชีวิตคุณไปเลย

* ขี้บ่น เสียดสีประชดประชัน

“บ่นมาก มันน่าเบื่อ”

ผู้ชายคนหนึ่งเม้าท์อดีตภรรยาให้ฟังว่า

“ให้เป็นเมียนะครับ ไม่ใช่แม่”

เขาเล่าให้ฟังสมัยเป็นแฟน ไม่เห็น Ms.Ex คนนี้ขี้บ่นเลย แต่พอแต่งงานไปไม่นาน เขาขับรถผิดเส้นทางหน่อย ลืมมือถือ ลืมกุญแจบ้าน ภรรเมียก็บ่นแล้ว บ่นตั้งแต่เรื่องเล็กยันเรื่องใหญ่

“ปกติแม่ของผมก็ขี้บ่นครับ แต่นั่นคือ ‘แม่’ ผมทนได้ แต่กรณีเมีย ผมก็มานั่งคิด-ทำไมต้องทนด้วยวะ”

จุฑามาศ ณ สงขลา เขียนในหนังสือ สมาธิ 5 นาที ชีวิตดีตลอดไป อธิบายนิสัยขี้บ่นของผู้หญิงว่า มาจากสมองซีกขวารับเอาความรู้สึกหลากหลายและข้อมูลมากมายเข้าไว้ในตัวเอง ข้อมูลที่เป็นอารมณ์ความรู้สึกมันจะถูกคั่งค้างในสมองซีกขวาของผู้หญิง และมันจะถูกระบายออกก็ด้วยการบ่น รวมไปถึงการประชดประชัน กระทบกระเทียบ กระแนะกระแหน

“นั่นเป็นเพราะเธอว่าเรียงลำดับมันไม่ถูก คนที่อยู่ใกล้และคนที่เธอรักใคร่ใกล้ชิดนี่แหล่ะจะเป็นคนที่เธอสามารถบ่นๆๆๆ ว่าๆๆๆ หรือพูดจาชวนหาเรื่องได้ง่ายกว่าคนอื่น”

ซึ่งความเคยชินนี่แหล่ะมันน่าเบื่อน่ารำคาญสำหรับผู้ชาย คุณผู้หญิงหลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่ทะเลาะเบาะแว้งตบตีกันสักหน่อย ขอโทษค่ะ คุณคิดผิด!

ถ้อยคำบ่นพร่ำเพรื่อ ตลอดจนคำพูดเสียดสีกระแนะกระแหนประชดประชัน ล้วนบั่นทอนกำลังใจคนที่ได้ยิน สามารถสะสมเป็นความโกรธ ความไม่พอใจ ก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้าน

“การบ่นการเสียดสีประชดประชัน เป็นการพูดแบบไม่ให้กำลังใจ”

จิตแพทย์หญิง อังคณา อัญญมณี จากรพ.มนารมย์ เตือนผู้หญิงเราให้ตระหนักลึกๆ ว่า ผู้ชายต้องการอะไร

“ผู้ชายเขาต้องการความรัก การดูแลเอาใจใส่ ต้องการความอ่อนโยน ถ้าแฟนหรือภรรยาให้เขาตรงนี้ไม่ได้ เขาอาจไปมองหาคนอื่นที่ support ให้เขาตรงนี้ได้”

นั่นไง อย่ามัวแต่เพียงเพื่อระบายอารมณ์ โดยไม่รู้จักควบคุมคำพูดตัวเอง แฟนหรือสามีเขาไม่ใช่ ‘พ่อ’ ของเรานะคะ ที่พร้อมจะให้อภัยและให้โอกาสเราได้เสมอ


* ขี้ตำหนิ ติเตียน

“ผู้หญิงที่เนี้ยบมาก ผู้ชายจะกลัว”

รุ่นพี่ผู้ชายผู้มีประสบการณ์ชีวิตคู่ ตั้งประเด็นขึ้น

“พวกผู้หญิงเก่งแบบเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์(Perfectionist นักสมบูรณ์แบบ) เวลาอยู่บ้าน ก็ติดเรียกร้องสามี ทุกอย่างต้องเพอร์เฟ็กท์ นอกจากทำงานหาเงินเก่ง อยู่ในบ้านก็ต้องเป็นระเบียบเรียบร้อย”

อาทิ แปรงฟันห้ามสะบัดยาสีฟันเลอะกระจก ถอดเสื้อผ้าก็ต้องใส่ตะกร้าให้เป็นที่เป็นทาง ไม่ใช่ถอดกางเกงทิ้งม้วนเป็นเลขแปดสะเปะสะปะ หรือกินกาแฟแล้วก็ต้องเอาไปล้างเก็บให้เรียบร้อย ห้ามวางทิ้งของเกลื่อนรกบ้าน ฯลฯ

“ผู้ชายแท้ๆ เขาไม่ทำอะไรเป็นระเบียบเรียบร้อยหรอก”

จากคำพูดของรุ่นพี่ผู้ชายคนนี้ ทำให้นึกถึงประโยคคมๆ จากบทความ 5 Things You Might Be Doing to Sabotage Your Relationship ที่เคยอ่านเจอในเว็บฯ

“Even Mr. Right is not going to be perfect”

คนที่ใช่ของเราไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเป็นคนยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบไปซะหมด เราควรเรียนรู้ที่จะเข้าใจจุดบกพร่องของเขา อย่าไปมัวตำหนิติเตียน พูดจาให้เขารู้สึกต้อยต่ำ ไม่ว่าจะเรื่องงานเงิน กระทั่งเรื่องในบ้าน และเรื่องบนเตียง

“ฝ่ายหญิงมีฐานะมีความรู้ และเป็นคนเก่ง แต่อยู่กับผู้ชายที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ หรืออาจเป็นผู้ชายที่ดูด้อยกว่า การไปตำหนิเขาบ่อยๆ เขาอาจรู้สึกเหมือนผู้หญิงเหนือกว่า คอยกำกับควบคุมเขา เขาก็จะทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่ไหว มันเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ชายด้วย”

หมออังคณา แนะทางออกของประเด็นนี้ว่า

“ตรงนี้มันต้องมาแก้ที่ 'ใจ' ของเรา ไม่ใช่ว่าไปแก้ที่เขา เราอาจต้องมาดูตัวเองเข้าใจตัวเองก่อนว่า ใจเราคาดหวังอะไรกับเขา และความเป็นจริง..เขาเป็นได้แค่ไหน เราต้องรู้ว่าจุดดีจุดอ่อนของเขาคืออะไร และจุดดีจุดอ่อนของเราคืออะไร ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ดีกว่าเขาเท่าไรหรอก แต่เราชอบอยากให้เขาดีครบตามที่เราลิสต์(list)ไว้ ซึ่งในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้”

เอาน่ะ บางทีการมีผู้ชายงี่เง่าบ้างในชีวิต ก็ยังดีกว่าไม่มีผู้ชายเลยทั้งชีวิต!


* ขี้อ้อน งอแง

มีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งยังไง๊ยังไงก็ไม่ยอมหัดขับรถ ด้วยเหตุผลเพียงว่า ถ้าขับรถเป็น สามีก็ไม่ไปรับไปส่งสิ คุณฝาละมีของเธอจึงแทบขับรถรอบกรุงเทพเลยค่ะ กว่าจะออกจากบ้านบางกะปิไปส่งคุณแม่ เอ๊ย! คุณเมียไปทำงานธนาคารแถวพระโขนง ก่อนวนรถกลับไปออฟฟิศที่ประชาชื่น มิหนำซ้ำ ฝ่ายชายที่เป็นวิศวกร บางวันต้องไปดูงานที่พุทธมณฑล คุณภรรยาก็ไม่เคยปราณี ให้ขับรถมารับหลังเลิกงานแม้ว่าดึกแค่ไหนก็ตาม

“ถ้าไม่หาเงื่อนไขให้เขามารับส่ง เขาก็จะมีโอกาสไปลั้นลาที่อื่น”

อ๋อ ไม่ใช่สาวคนนี้ขี้เกียจ ที่แท้..ขี้หึงนี่เอง ซึ่งในมุมจิตวิทยา คุณหมออังคณาเผยสาเหตุว่า มาจากการไม่รักไม่เห็นคุณค่าตัวเองต่างหาก

“ผู้หญิงหลายคนไม่ค่อยรักตัวเอง ก็โหยหาความรักความเอาใจใส่จากแฟน ให้เขาทำโน้นทำนี่ให้ บางคนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าพอ กลัวว่าแฟนจะไปมีคนอื่น เลยเรียกร้องหาเรื่องควบคุมให้เขาอยู่ในสายตา

จริงๆ แล้ว เป็นความว่างเปล่าในใจของผู้หญิงนะคะ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาได้เหมือนกัน”

กลายเป็นคนงอแง ทำอะไรไม่เป็น

“need ให้ผู้ชายเขาอยู่กับเรา ให้ความรักกับเราตลอด ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกค่ะที่สามารถให้ความรักเราได้ตลอดเวลา”

เพื่อนหญิงคนนี้เล่าให้ฟังอีกว่า เธอจะคอยตรวจเช็กข้อมูลในมือถือ รวมทั้งกระเป๋าเงินของสามีตลอด ทำฟอร์มขอใช้โทรศัพท์บ้าง ขอหยิบตังค์บ้าง ซึ่ง(ยัง)ไม่พบสิ่งผิดปกติ

เราได้แต่เอาใจช่วย... หวั่นแต่ว่าฝ่ายตรงข้ามรู้ทัน เข้าตำราคุณชายแนบเนียนแบบคุณหมอเตือนน่ะสิ

“คอยเช็กตลอดไปไหนกับใคร ติดต่ออะไรกับใคร ยังไงบ้าง หรือตามติด..ไปไหนต้องมีเรา มันจะทำให้เขาอึดอัด ไม่เป็นส่วนตัว บางทีเขาเลยต้องโกหก ตัวเราเองเป็นคนทำให้เขาไม่สามารถบอกความจริง ไม่เปิดโอกาสให้เขามีโลกส่วนตัว

เราต้องเข้าใจทั้งตัวเราและตัวเขา ที่สำคัญ ต้องรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าพอ”

ฉะนั้น สาวใดขี้อ้อนงอแงแล้วได้ดั่งใจ ไม่ได้หมายความว่า ผู้ชายของคุณอยู่ในกำมือคุณนะคะ และการที่เขาตามใจคุณ ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะจงรักภักดีกับคุณ!

ความรักเป็นสิ่งเชื่อมโยงคนแปลกหน้าสองคนให้มาตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน

ทว่าความรักเป็นเรื่องนามธรรมค่ะ

การใช้ชีวิตร่วมกันของคนสองคน มันเป็นเรื่องรูปธรรมแล้วล่ะ

ดังนั้นคุณผู้หญิง(บวกคุณผู้ชายด้วย)ควรช่วยกันทำรูปธรรมให้ดีที่สุด เพื่อจะได้ห่อหุ้มนามธรรมรักนั้นไว้ให้นานที่สุด ..ไม่ใช่หรือคะ

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

ปัญหา "การหย่าร้าง" เรื่องที่ทุกบ้านไม่ควรมองข้าม


ปัญหา "การหย่าร้าง" เรื่องที่ทุกบ้านไม่ควรมองข้าม!

เมื่อได้ยินเรื่อง "การหย่าร่าง" เป็นเรื่องที่ใครฟังแล้ว ย่อมเกิดความรู้สะเทือนจิตใจไม่น้อย และไม่ต้องการให้เกิดกับชีวิตสมรสของตัวเอง เพราะเป็นความโหดร้าย และเปลี่ยนแปลงความรู้สึกทั้งสามี และภรรยา รวมไปถึงตัวลูกที่จะรับผลกรรมหลังจากการหย่าร้างโดยตรง เด็กบางคนจึงมีชีวิตที่ขาด เกิดเป็นปมด้อยติดตัวตามไปเมื่อต้องเข้าสังคมกับกลุ่มเพื่อน

ดังนั้น ปัญหาการหย่าร้าง และการสมรสใหม่ของครอบครัว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แนวโน้มจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของครอบครัวนั้นๆ จึงเกิดเป็นความกังวล และความกลัว สะท้อนได้จากผลวิจัยเรื่อง "การศึกษาความกลัวของนักเรียนที่มีต่อการหย่าร้าง และการสมรสใหม่ของครอบครัว" ที่สะท้อนความคิด และรู้สึกของเด็กต่อปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี

งานวิจัยชิ้นนี้ ได้ทำการสำรวจข้อมูลเบื้องต้น ด้วยวิธีการใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับความกลัวของของนักเรียนที่มีต่อการหย่าร้างและการสมรสใหม่ของครอบครัว เป็นกลุ่มนักเรียนในช่วงชั้นที่ 2 ซึ่งได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 และช่วงชั้นที่ 3 ซึ่งได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวนทั้งสิ้น 20,507 คน จากทั้งหมด 95 โรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาลพบุรี เขต 1 อ.เมือง จ.ลพบุรี

ผลการวิจัยจากการสำรวจ "ภัสยกร เลาสวัสดิกุล" บัณฑิตหลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการแนะแนว คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผย และสะท้อนให้เห็นว่า มีความกลัวเกิดขึ้น 7 ชนิดคือ ความกลัวการล้มเหลว ความกลัวการไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ความกลัวการถูกวิพากษ์วิจารณ์ และความลำบากใจ ความกลัวการถูกกระทำจากบุคคลอื่น ความกลัวการถูกกระทำอันตรายภายในครอบครัว ความกลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้ และความกลัวการถูกทอดทิ้ง

"นักเรียนหญิงจะมีความกลัวในด้านการไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ กลัวการถูกกระทำจากบุคคลอื่น และกลัวถูกทอดทิ้งมากกว่านักเรียนชาย โดยจะมีความรู้สึกวิตกกังวลว่าตนเองจะสูญเสียถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับความรัก การดูแลเอาใจใส่จากบุคคลที่ตนเองรักเหมือนเดิม โดยมักจะแสดงออกในลักษณะของการเสียใจ การเศร้าโศก หรือการเก็บซ่อนความทุกข์ใจไว้ภายใน ที่สำคัญเด็กหญิงจะมีความรู้สึกว่าตนเองไม่ปลอดภัย กลัวจะได้รับอันตรายมากกว่าเด็กชาย ซึ่งต่างจากเพศชายที่มักจะแสดงออกในลักษณะของพฤติกรรมที่ต่อต้าน ก้าวร้าว หรือพฤติกรรมที่เป็นปัญหามากกว่า"

ด้านอายุที่แตกต่างกันจะมีความกลัวต่อการหย่าร้างและการสมรสใหม่ของครอบครัวแตกต่างกันไปด้วย โดยเด็กมีอายุมากขึ้นอาจมีการรับรู้ และมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่มากขึ้น จึงทำให้เกิดความวิตกกังวลมากขึ้น เด็กที่มีอายุระหว่าง 13-15 ปี มีความกลัวมากกว่านักเรียนที่มีอายุระหว่าง 9-12 ปี โดยจะกลัวด้านความล้มเหลว ความกลัวการไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ความกลัวการถูกกระทำจากบุคคลอื่น ความกลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้ และความกลัวการถูกทอดทิ้ง เด็กที่มาจากครอบครัวหย่าร้างจะมีความกลัวมากกว่าเด็กที่มาจากครอบครัวปกติ

สำหรับเด็กมีพี่น้องจากครอบครัวเดิมอยู่ด้วย มีความกลัวการถูกทอดทิ้งน้อยกว่าเด็กที่เป็นลูกคนเดียว เนื่องมาจากการมีพี่น้องย่อมช่วยให้เกิดการแบ่งปันความรู้สึกที่เกิดขึ้นอันเป็นผลที่เกิดมาจากการหย่าร้าง เด็กจะไม่รู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว หรือถูกทิ้งให้เผชิญสถานการณ์การหย่าร้างแต่เพียงลำพังคนเดียว ซึ่งต่างจากนักเรียนที่ไม่มีพี่น้องจากครอบครัวเดิมอาจรู้สึกว่าตนเองต้องถูกทอดทิ้งให้เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของคนเองโดยลำพัง ไม่มีคนคอยปรึกษา จึงทำให้เกิดความกลัวการถูกทอดทิ้งมากกว่า

"พ่อแม่ ก่อนที่คิดจะหย่าร้างควรตระหนักถึงผลที่ตามมาอันจะส่งผลกระทบต่อลูกด้วย ทั้งนี้หากมีความจำเป็นที่จะต้องหย่าร้าง บิดามารดาควรสร้างความเข้าใจ หรืออธิบายถึงสาเหตุหรือความจำเป็นของการหย่าร้างเพื่อให้เด็กเข้าใจ ผู้ปกครอง บุคคลในครอบครัว ตลอดจนผู้ใกล้ชิดควรทำความเข้าใจนักเรียนที่ต้องเผชิญกับปัญหาการหย่าร้างและการสมรสใหม่ของครอบครัว โดยคำนึงถึงความรู้สึก และสร้างความเข้าใจในพฤติกรรมของลูกให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ได้ด้วย

ด้านครูประจำชั้น ครูผู้สอน และครูแนะแนว หน้าที่สำคัญคือ ควรทำความเข้าใจถึงความรู้สึกที่นักเรียนต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว ให้กำลังใจแก่นักเรียนและจะเป็นพื้นฐานในการสร้างความเข้าใจถึงพฤติกรรมที่เด็กแสดงออก และจะเป็นข้อมูลพื้นฐานในการที่จะช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาแก่นักเรียนที่กำลังเผชิญกับการหย่าร้างหรือการสมรสใหม่ของครอบครัว ให้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไปและสามารถดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้อย่างมีความสุข" ภัสยกรฝากทิ้งท้าย


โดย
ผู้จัดการออนไลน์

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พิสูจน์! ฝานมันฝรั่งมาแปะตา ลดอาการรอยคล้ำใต้ตาได้ทันใจ?

พิสูจน์! ฝานมันฝรั่งมาแปะตา ลดอาการรอยคล้ำใต้ตาได้ทันใจ?

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 พฤษภาคม 2553 12:06 น.

จะหลินปิง ช่วงช่วง หรือแพนด้าพันธุ์ไหนก็แล้วแต่ หลบไปเลยเมื่อเจอแพนด้าตัวแม่อย่างดิฉัน ไหนจะนอนดึก จ้องคอมพ์ ตาไม่กระพริบเป็นเวลานาน เพราะเร่งปิดข่าวให้ทันจนหามรุ่งหามค่ำ จนกระทั่งตาลึกโบ๋เป็นผีลืมหลุม เนื่องจากไอ้เจ้ารอยคล้ำใต้ตาตัวดีมาเยือนซะด่วนจี๋โดยไม่ให้ตั้งตัว แถมรอยย่น ตีนกาแห่มาเป็นขบวน โอ้ยย กลุ้มค้า!

จะพึ่งพวกอายครีม (Eye Cream) ทั้งหลายแหล่ ก็แพงหูฉี่ ถ้าได้ผลรอยดำใต้ตาหายวับไปก็ดีหรอก แต่มันน่าเจ็บใจตรงที่ไม่ได้ผลน่าซิ ที่สำคัญ เสียดายตังค์ค้า!!

เมื่อจวนตัวต้องรีบไปทำงานพรุ่งนี้เช้า แต่ก็กลัวปากของเพื่อนๆ จะทักว่าไปทำรัยมาหนังตาด้ำ ดำ ก็ขอพึ่งภูมิปัญญาชาวบ้านนี่แหละ ว่าแล้ว…ก็แว้บหายไปสาละวนขลุกอยู่ในครัวไม่ถึง 15 นาที ได้ผัก ผลไม้ มาทำสวยดังนี้จ้า

สวยและเด้ง แถมสตางค์อยู่ครบ อิอิ





ขอไล่เรียงสรรพคุณของผัก และผลไม้ ตามรูปดังนี้คะ

1. แตงกวา ช่วยความชุ่มชื่น ลดอาการบวมแดง
2. กล้วย ช่วยให้ผิวใต้ตานุ่มนวล ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
3. มันฝรั่ง มอบความสดชื่น กระจ่างใสให้ดวงตา
4. แครอท ผสมน้ำผึ้ง ไล่ตีนกาได้ดีนัก
5. มะเขือเทศ ทำให้ดวงตาสดใส ปิ๊งปั๊ง

ในการ Test ครั้งนี้ ดิฉันขอเลือกมันฝรั่ง มาลองทำให้ชมดีกว่า เค้าว่ากันว่า ได้ผลรวดเร็ว หยุดรอยคล้ำใต้ตาได้ชัดนัก เพราะมันฝรั่งมีเอนไซม์ (Enzyme) ที่ทำให้สีผิวดูอ่อนจางลงได้ จึงช่วยลดความหมองคล้ำได้ชั่วคราว วิธีนี้จึงเหมาะจะใช้เวลาที่คุณสาวๆ ต้องการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน

พื้นฐานดวงตาทุนเดิมเป็นคนเบ้าตาลึกคะ จึงค่อนข้างคล้ำดำง่ายกว่าคนปกติทั่วไป


วิธีทำแสนง่าย





เลือกมันฝรั่งผลใหญ่หน่อย เพื่อที่เวลาฝานจะได้ปิดตาได้มิดไงละ และล้างผลมันฝรั่งให้สะอาด จากนั้นฝานให้บางๆ นำมาแปะดวงตาประมาณ 15-20 นาที นอนหลับไปเลยได้ยิ่งดีเพื่อพักผ่อนสายตาจากการเหนื่อยล้า

Tip -> หากแช่มันฝรั่งในตู้เย็นยิ่งดีใหญ่ ช่วยลดปัญหาตาบวมได้ แถมสดชื่นอีกด้วยคะ

เมื่อฝานโปะเสร็จปรากฏว่า >>





หลังจากแปะมันฝรั่งครบ 15-20 นาทีแล้ว ดูผ่านๆ อาจจะเห็นผลไม่ค่อยชัดนัก (แหม ก็เราไม่นิยมรีทัชหลอกคนอ่านนี่นา) แต่ดูดีๆ สีคล้ำจะจางลงหน่อย ทั้งนี้อาจเพราะทำแค่ครั้งแรก และครั้งเดียว ทว่าหากไม่ขี้เกียจ หมั่นทำประจำสม่ำเสมอคงดีแน่ เพราะแค่ครั้งแรกยังรู้สึกถึงความชุ่มชื่น มีชีวิตชีวาบริเวณผิวรอบดวงตา เย็นๆ ตึงๆ ตาสว่างสดชื่น เนื่องจากน้ำจากมันฝรั่งทำให้ตาชุ่มชื่น

บางท่านไปลองทำ อาจรู้สึกคันยุบยิบเล็กน้อย แต่ห้ามเอามือไม่เกานะคะ เพราะตำราบอกไว้ว่าจะรู้สึกยิบนิดๆ ซึ่งไม่เป็นผลร้ายอะไร

เราตั้งใจว่าจะทำเองสม่ำเสมอแล้วล่ะ ก็ของดีหาง่ายในครัวไม่ต้องสรรหาจากแดนไกล ว่างๆ ท่านผู้อ่านลองทำดูได้นะคะ ของธรรมชาติคะไม่มีการแพ้แต่อย่างใด

* วิธีป้องกันตาแพนด้า

1) อย่าให้กล้ามเนื้อตาล้าเกินไป ด้วยการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ให้พักสายตาทุก 15 นาที การมองออกไปไกลๆ จะทำให้ดวงตาไม่เกิดอาการล้า พร้อมปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้แสงพอเหมาะ

2) หากรู้สึกอ่อนล้าให้นวดคลึงเบาๆ และควรบริหารดวงตาเพื่อคลายความตึงเครียด ด้วยการกลอกตาไปรอบๆ เป็นวงกลม สัก 5-6 รอบ ใช้นิ้วนางทั้ง 2 นิ้วแตะที่หัวตาแต่ละข้าง คลึงเบาๆ แบบกดจุดนาน 1-2 วินาที เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยถนอมดวงตาคู่สวยของคุณได้แล้วล่ะค่ะ

3) เพิ่มปริมาณการดื่มน้ำของคุณให้ได้อย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน

4) การสวมแว่นกันแดดที่เจือสีเล็กน้อย ก็จะทำให้พรางรอยคล้ำใต้ตาลงไปได้

5) การใส่คอนแทคเลนส์บ่อยๆ ก็เป็นสาเหตุดึง เพราะเราต้องรบกวนเปลือกตาด้วยการถ่างตาบ่อยๆ ทำให้เกิดรอยย่น ตัวดีเชียวแหละ

6) รอยคล้ำใต้ตาที่เกิดขึ้นมักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดฝอยบริเวณใต้ดวงตา หรือบางคนก็เกิดจากเป็นโรคภูมิแพ้ หรือกรรมพันธุ์ค่ะ คนที่ขยี้ตาบ่อยๆ ไม่ว่าจะเพราะเป็นภูมิแพ้แล้วคัน หรือว่าขยี้ตาด้วยความเคยชิน ก็ทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ตาแตกได้และเห็นเป็นรอยคล้ำได้

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

เคล็ดลับใช้น้ำหอมในหน้าร้อน

เคล็ดลับใช้น้ำหอมในหน้าร้อน

ร้อนจะตาย จะให้เป็นลมเพราะดมกลิ่นตัวเหม็นๆ หรือเวียนเฮดกับกลิ่นน้ำหอมของเพื่อนสาว .. ไม่อยากให้คนรอบตัวรู้สึกแบบนั้น ลองอ่าน

เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า อุณหภูมิที่ร้อนแรงอย่างนี้อย่างบ้านเราส่งผลให้กลิ่นหอมที่เพื่อนๆ ใช้อยู่เปลี่ยนไปได้ และอาจเปลี่ยนจากกลิ่นหอมที่ชวนหลงใหลเป็นกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนา เรามารู้เคล็ดลับการใช้น้ำหอมหน้าร้อนกันเถอะเพื่อส่งความหอมให้ทั่วเรือนกายอย่างไม่ผิดเพี้ยน และเป็นที่พึงปราถนาให้กับคนรอบข้างด้วย


1. สำหรับหน้าร้อนนี้การเลือกใช้น้ำหอม ควรเลือกลิ่นน้ำหอมแนวสดชื่น เย็นสบาย กลิ่นอ่อนๆ ไม่ฉุนจนเกินไป อาทิ น้ำหอมที่มีส่วนผสมจาก orange blossom, pear, mint, ginseng และ ginger


2. หากคุณเป็นคนผิวมัน ความร้อนจากอุณหภูมิที่ร้อนแรงจะยิ่งสามารถกระจายกลิ่นน้ำหอมที่คุณใช้ได้แรงกว่า และมากกว่าสภาพผิวอื่นๆ เพราะฉะนั้นในหน้าร้อนนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณควรเลือกกลิ่นน้ำหอมที่อ่อน ๆ เมื่อฉีดจะได้ไม่ฉุนจนเกินไป


3. หากเกรงว่ากลิ่นน้ำหอมที่ใช้อยู่นั้นจะแรงไป ให้หยดน้ำหอมใส่สำลีเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อแทน เพื่อให้กลิ่นหอมอยู่กับเรา และอยู่ได้นานๆ ด้วย หรือ เติมกลิ่นหอมให้สัมภาระในกระเป๋าหรือผ้าเช็ดหน้า โดยการเอาของที่อยากให้มีกลิ่นหอมมาใส่รวมในกล่องที่ปิดฝาได้ แล้วฉีดน้ำหอมใส่สำลีก้อน แล้วใส่ลงไปในกล่องปิดฝาอบกลิ่นเอาไว้ วิธีนี้ใช้ได้กับเสื้อผ้าในตู้ด้วย ดีกว่าพรมน้ำหอมลงไปบนเสื้อทำให้เกิดรอยด่างที่เสื้อได้


4. ฉีดน้ำหอมใส่ฝ่ามือ เวลาจับมือใครจะได้หอมๆ และชวนสัมผัส เพราะหน้าร้อนบางคนจะมีเหงื่อออกที่ฝ่ามือจึงอาจส่งกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาได้


5. ในกรณีน้ำหอมแบบแต้ม ควรใช้ Cotton Bud แตะน้ำหอมจากปากขวดแทนนิ้วมือ แล้วไปแต้มตามบริเวณจุดชีพจรต่าง ๆ บนร่างกาย เพราะกลิ่นน้ำหอมในขวดจะเปลี่ยนได้ หากได้รับความร้อนจากอุณหภมิจากนิ้วมือของเรา


6. ถ้าอยากหอมไปทั้งวัน แนะนำให้ใช้ Shampoo, Shower gel, deodorant ที่มีกลิ่นเดียวกับน้ำหอมจะช่วยให้ความหอมอยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น


7. เคล็ดลับสำหรับเส้นผม และในหน้าร้อนนี้ เหงื่อออกมาทั่วเรือนกายไม่เว้นแม้แต่เหงื่อบนหนังศีรษะ ดังนั้นเพื่อคงความหอมทั่วเรือนกาย ให้ฉีดน้ำหอมที่ผมโดยห่างประมาณ 1 ฟุต โดยใช้กลิ่นเดียวกับกลิ่นหอมที่ฉีดที่ตัว หรือฉีดสเปรย์น้ำหอมกลิ่นเดียวกันลงบนแปรงหวีผม สเปรย์ห่าง ๆ พอให้ละอองจับบนแปรง แล้วค่อยบรรจงหวีผม แต่แอลกอฮอล์ต่าง ๆ ในน้ำหอมอาจทำให้ผมเสียได้ เพราะฉะนั้นต้องหมั่นทรีตเม้นผมเป็นประจำด้วย


เพียง 7 ข้อนี้กับเคล็ดลับการใช้น้ำหอมหน้าร้อน คุณก็จะเป็นคนที่ใครๆ ปรารถนาอยากจะใกล้ชิดแล้วหละ ด้วยกลิ่นที่ชวนหลงใหลรับฤดูร้อนนี้


ที่มา
http://www.myfri3nd.com/board/view_topic.php?cate_id=8&post_id=3961

10 เรื่องจริงของความงาม ที่คุณต้องรู้

10 เรื่องจริงของความงาม ที่คุณต้องรู้

1. สุดยอดแห่งความงามนั้นอยู่ที่จิตใจ เมื่อคุณรู้สึกดี คุณก็จะดูดีไปเองโดยปริยาย

2. ความเครียดคือศัตรูตัวฉกาจ! อ้างอิงโดย ดร.ชอน ทาลบอทท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์แห่งฟาร์มาเน็กซ์ กล่าว่าคอร์ติซอล (Cortisol) คือฮอร์โมนความเครียดตัวสำคัญซึ่งเป็นกุญแจหลักในการต่อสู้กับปัญหาสุขภาพต่าง ๆ รวมถึงปัญหาความอ้วนคอร์ติซอลเป็นสารเคมีตามธรรมชาติเช่นเดียวกับอะดรีนาลีน ซึ่งร่างกายจะผลิตเมื่อเกิดความเครียด ขณะวิตกกังวลหรือเมื่ออยู่ในอันตราย หากการผลิตสารเคมีเกิดขึ้นในปริมาณมาก (ระหว่างเกิดอาการเครียด) สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่สำคัญได้ คือเกิดอาการอ่อนเพลียในระยะยาว ซึ่งการแก้ปัญหานั้นสามารถทำได้โดยการควบคุมสมดุลของคอร์ติซอลนั่นเอง

3. สิวคือสาเหตุแห่งความเครียด และในทางกลับกัน ความเครียดก่อให้เกิดสิว โดยอ้างอิงจาก ดร. อเล็กซา คิมบอล นักวิจัยนูสกิน ซึ่งระบุว่าช็อกโกแลต อาหารไม่เป็นประโยชน์ ตลอดจนการไม่ชำระล้างใบหน้านั้นไม่ก่อให้เกิดสิว! ระดับฮอร์โมนและแบคทีเรียที่ถูกสร้างขึ้นต่างหากคือสาเหตุสำคัญ ดังนั้น การควบคุมปัญหาการเกิดสิวจึงควรเริ่มต้นที่การดูแล ซึ่งมันก็ไม่ใช่เพียงการแต้มยารักษาบนสิวเท่านั้น

4. จากผลสำรวจและศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวที่ขัดแย้งกันของผู้หญิงสิงคโปร์ที่มีต่อสุขภาพและความงาม โดย 78% เห็นตรงกันว่าสุขภาพเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุดสืบเนื่องจากอายุซึ่งมากขึ้น เช่นกันกับ 87% กล่าวว่าพวกเธอไม่ชอบหน้าตาที่เป็นอยู่ และ 75% รับไม่ได้กับริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้น

5. “โรคติดเชื้อทางผิวหนังอย่างโรคแผลเปื่อย (เรื้อนกวาง) เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในประเทศพัฒนาแล้ว” ฌอง ฟรังซัว ชาเรส ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์แห่งอีวอคซ์ (Evaux) กล่าว และจากการค้นคว้าล่าสุดโดยนักวิจัยชาวบอสตันจาก เลธ อิสราเอล ดีโคเนส เมดิคอล เซ็นเตอร์ (Beth Israel Deaconess Medical Center) ยังได้ยืนยันทางเอกสารว่ามีความเกี่ยวพันกันระหว่างความเซนซิทีฟของผิวหนังในขั้นรุนแรง (79%) กับผู้ป่วยไมเกรน

6. จอยส์ ลิม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังกล่าวว่า “การรับประทานอาหารเสริมและการทาครีมประเภทคอลลาเจนนั้นไม่ได้ผล” การกระตุ้นคอลลาเจนจากภายในสำคัญที่สุด

7. คุณมีตัวเลขสุขภาพไหม การรู้ตัวว่าคุณอยู่ห่างจากอนุมูลอิสระเป็นกุญแจดอกสำคัญในการต่อสู้การถูกโจมตีในแต่ละวัน และอีกครั้งที่เทคโนโลยีได้กลายเป็นยุทธวิธีป้องกันแบบใหม่

ฟาร์มาเน็กซ์ ไบโอโฟโตนิค สแกนเนอร์ (Pharmanex BioPhotonic Scanner) คือการวัดปริมาณแอนติออกซิแดนท์ของแคโรทีนนอยด์ โดยจะทำการบอกตัวเลขของจำนวนกิจกรรมเพื่อยับยั้งการเกิดออกซิเดชั่นที่ต้องการ ซึ่งถือเป็นวิธีแรกของโลกที่นับว่าไม่รุนแรง ถึงแม้ว่าขณะนี้วิธีดังกล่าวจะมีเฉพาะฟาร์มาเน็กซ์เท่านั้น ก็ได้มีการพิสูจน์แล้วว่าเพื่ออนาคตของสุขภาพที่สมบูรณ์กว่า ตัวเลขของคุณอาจอยู่ถัดไปจากนี้ก็ได้

8. ระดับน้ำในผิวหนังของเรา เอสที ไมโครอีเล็คโทรนิค และลอรีอัล กำลังใช้ชิปผิวสัมผัสโดยเอสที ซึ่งเทคโนโลยีซิลิคอนอิมเมจ เซ็นเซอร์ในโปรเจ็กต์การวิจัยค้นคว้าเพื่อพัฒนาแบบแผนการวิเคราะห์รายละเอียดของระดับน้ำในผิวหนังมนุษย์ให้ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น (แหล่ง Beauty-uk.co.uk)

9. เราลดน้ำหนักไม่ลงสักที เพราะเรากินมากกว่าที่เรารับประทานมากกว่ามื้อปกติขณะดูทีวี ทำงาน และอ่านหนังสือ แถมยังปลดปล่อยตัวเองจากความเครียด หรือกดดันโดยการกินอีกด้วย ลองลงบันทึกว่าคุณรับประทานอะไรบ้างในแต่ละวัน จานใบเล็ก ช่วยให้กินได้น้อยลง นี่ไม่ได้พูดให้ทำตามนะ แต่มันได้ผลจริง ๆ

10. ได้ค้นพบว่า ด้วยปริมาณโพลีฟีนอลที่มีมากกว่าถึงสามเท่า ทำให้ชาขาวมีอานุภาพและประสิทธิภาพมากกว่าชาเขียว ชาขาวยังช่วยปกป้องโปรตีนในผิวหนัง ป้องกันผิวหน้าแตกแห้ง หลุดลอก จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเคส เวสเทิร์น รัฐไอโอวา ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่าชาขาวยังช่วยป้องกันเซลล์ซึ่งดูแลส่วนสำคัญของร่างกายที่ทำหน้าที่รักษาระบบภูมิคุ้มกันผิวหนัง อีกทั้งช่วยบรรเทาอาการของผิวหนังที่ถูกแสงแดดแผดเผาระยะยาว อันเป็นสาเหตุของปัญหาแก่ก่อนวัย

whitening แต่ละชนิดต่างกันยังไงนะ

whitening แต่ละชนิดต่างกันยังไงนะ

ในคนเอเซีย มีค่านิยมตั้งแต่ดั้งเดิมแล้วว่า การที่มีสีผิวขาว นวลเนียน ย่อมนำมาซึ่งเสน่ห์ดึงดูดใจต่อเพศตรงข้าม ไม่ว่าชาย หรือ หญิง ดังนั้น จึงมีหลายคนที่พยายามเปลี่ยนแปลงสีผิวของตนเอง ให้ขาวขึ้นๆ


ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผิวหนังและสีผิว
1. ผิวหนัง
ทำหน้าที่ในการปกป้องสิ่งที่อยู่ในร่างกายจากภายนอก เช่น แสงแดด มลภาวะ เชื้อโรค และอื่นๆ

2. การป้องกันอันตรายของรังสีอุลตราไวโอเลตจากแสงแดด
อันนำมาซึ่ง ความแก่ ริ้วรอย มะเร็งผิวหนัง ฯลฯ ทำให้ร่างกายต้องสร้างเม็ดสี melanin pigments เพื่อป้องกัน แต่เม็ดสีเหล่านี้ จะแตกต่างกัน ทั้งคุณสมบัติด้านกายภาพ ทางเคมี หรือ ชีวเคมี ในแต่ละคน เชื้อชาติ กรรมพันธุ์ จึงทำให้คนเรามีสีแตกต่างกัน

3. ขบวนการในการสร้างเม็ดสีในร่างกาย
เราเรียกว่า Melanogenesis ถ้าทำงานมากหรือ น้อยเกินไป ก็อาจเกิดปัญหาสีผิวแตกต่างได้ อาทิ เกิดฝ้า กระ รอยหมองคล้ำ รอยด่างขาว ขี้แมลงวันในคนสูงอายุ กลไกการสร้างตามขบวนการดังกล่าว มีรายละเอียดพอสังเขปดังนี้

melanocyte (เซลล์ชนิดหนึ่งในชั้นผิวหนังกำพร้า) ประกอบด้วยส่วนประกอบที่เรียกว่า Melanosome ซึ่งใช้ เอนไซม์ Tyrosinase ในการผลิตเม็ดสี Melanin

ดังนั้น ครีม หรือสารทั้งหลาย ที่จะทำให้สีผิวขาวขึ้น ต้องมีฤทธิ์ในการรบกวน ขบวนการ ขั้นตอน หรือเอนไซม์ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสีเมลานินนี้

กลุ่มสารที่ทำให้ผิวขาวขึ้น( Whitening agents) ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด หรือที่คลินิกผิวพรรณทั้งหลาย จำแนกตามกลไกการทำงานได้ดังนี้

1. สารป้องกันแสงแดด เพื่อลดการทำลาย หรือ การสร้างเม็ดสีมากขึ้น ได้แก่ ครีมกันแดดทั้งหลาย

2. รบกวนการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase หรือ Melanosomeในขบวนการสร้างเม็ดสีผิว แบ่งย่อยๆ ได้เป็น
- Hydroquinone เดิมใช้ผสมในครีมรักษาฝ้า เพื่อลดและลบรอยดำจากฝ้า มีส่วนผสมตั้งแต่ 2-5 % HQ แต่ถ้าใช้ติดต่อกันนานๆ จะมีผลข้างเคียงได้ และทำให้ฝ้ากลับมาเป็นใหม่ได้จากผลของยาเอง ดังนั้นในปัจจุบัน ทางอ.ย ของไทย จึงห้ามผสมในเครื่องสำอางค์ แต่ในคลินิก ถ้าอยู่ในความดูแลของแพทย์ ยังสามารถใช้ได้
- Vitamin C อาจในรูปของสารละลาย (สำหรับใช้ในการทำไอออนโต) หรือในรูปของครีมทาผิว หรือ การรับประทานวิตามินซีเม็ด ซึ่งกรณีการรักษาฝ้า แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานวิตามิน C ควบคู่ไปด้วย ประมาณ 100-200 มก.ต่อวัน
- Kojic Acid ซึ่งใช้เป็นส่วนผสม ของผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ครีมรักษาฝ้า ครีมทาหน้าขาว
- Arbutin ส่วนประกอบคล้ายๆ ไฮโดรคลิโนน แต่ไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์เมลานิน ในคลินิกผิวหนัง มักนำมาใช้รักษาฝ้า แทน ยาไฮโดรคลิโนน แม้ให้ผลการรักษาช้ากว่า แต่ก็มีผลข้างเคียงน้อย
- Licorice เป็นผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากแป้งสาลี ชะเอม ปัจจุบันนิยมนำมาผสมในเครื่องสำอาง เช่นแป้งรองพื้น ครีมบำรุงผิวหน้า ผิวกาย ลิปติค ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ( ซึ่งในปัจจุบัน ในโฆษณาทางทีวี หรือสื่อต่างๆ จะบ่งว่าใช้ส่วนผสมของสารตัวนี้ เพราะมีความคงตัวมากกว่า สารตัวอื่นๆ ในกลุ่มนี้ )
- สารสกัดทางธรรมชาติ ซึ่งจะมีการค้นคว้าอีกมากมาย แต่ยังไม่ฮิตติดอันดับสำหรับการนำมาใช้เท่าสารเคมีที่กล่าวมาข้างบน อาทิ Green Tea Extract, Compositae(สารสกัดจาก matricaria)แต่ในอนาคตอาจมีสารกลุ่มนี้มากขึ้นกว่านี้

นอกจากนี้ การทำให้สีผิวขาวขึ้น ด้วยการทำ Peeling การทำไอออนโต การทำ Phonophoresis การขัดผิวให้ขาว ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่อยากขาว

แท้ที่จริง การมีผิวพรรณที่ขาวสะอาดสะอ้าน ในแง่ความปลอดภัยจากแสงแดด จะสู้คนผิวดำไม่ได้ เพราะมีความสามารถในการกลั่นกรอง ป้องกันอันตรายจากสิ่งภายนอกได้น้อยกว่า

แหล่งที่มา : คลีนิกนีโอ

Beautyful Cream




Beautyful Cream

เครื่องสำอางที่คุณผู้หญิงส่วนใหญ่มีไว้ในครอบครอง และพิถีพิถันในการเลือกใช้ คือ ครีมชนิดต่างๆ ซึ่งมีมากมายตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางทั้งหลาย มาทำความรู้จักกับครีม ชนิดต่างๆ ที่ใช้กันอยู่เป็นประจำกันนะคะ

ครีมล้างหน้า (Cleansing Cream)



การล้างหน้าที่มีเครื่องสำอางอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การจะใช้สบู่เพียงอย่างเดียวไม่ สามารถล้างเครื่องสำอางที่เกาะติดแน่นทนนานเพื่อความงามตลอดวันนั้นโดยง่ายครีม ล้างหน้าจึงมีบทบาทสำคัญมากเพราะสามารถล้างเครื่องสำอางได้หมดจด ซึ่งครีมล้าง หน้าก็มีหลายชนิด บางชนิดที่มีราคาสูงหลังจากเช็ดครีมด้วยสำลีหรือกระดาษเนื้อนุ่ม แล้วก็ล้างน้ำธรรมดาได้เลยแต่ครีมบางชนิดเมื่อเช็ดออกแล้วต้องล้างด้วยสบู่หรือโฟม อีกครั้ง หน้าจึงสะอาดสะอ้านดังเดิม

อายครีม (Eye Cream)


เป็นครีมที่ใช้บำรุงผิวรอบๆ ดวงตา ซึ่งเป็นส่วนที่บอบบางมากอายครีม จึงเป็นครีม ที่มีความบางเบาเป็นพิเศษ เพื่อผิวบริเวณนี้โดยเฉพาะ เพราะผิวรอบดวงตา มักจะไว และ แพ้ได้ง่าย

ไนท์ครีม (Night Cream)


เป็นครีมที่ใช้ทาหน้าเพื่อบำรุงผิวตลอดคืน ไนท์ครีมมักมีความเหนียวข้น มีความมัน ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องดูแลผิวให้ชุ่มชื้นสดใสจนถึงวันใหม่

ครีมรองพื้น (Foundation Cream)


ไม่ได้ช่วยบำรุงผิวหน้าแต่จะช่วยกลบเกลื่อนริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้า ทำให้หน้าเนียน เรียบ และจะเกาะติดกับแป้งทำให้เมื่อทาแป้งแล้ว นอกจากผิวจะดูเรียบเนียนสวยใสยังทำ ให้แป้งติดทนนาน ครีมรองพื้น มีทั้งแบบชนิดครีม ชนิดน้ำ หรือชนิดโฟม

ครีมกันแดด


ใช้ทาเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ช่วยปกป้องผิวให้พ้นจากการเป็นฝ้าหรือจุดด่าง ดำที่มาจากการทำลายของแสงแดด เครื่องสำอางหลายชนิดได้ผสมสารป้องกันรังสี UV นี้ไว้แล้ว

ครีมมอยเจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer)


เป็นครีมบำรุงผิวหน้า ใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืนโดยอาจจะปรับเปลี่ยนเป็นช่วง กลางวัน ทาเพียงบางๆ ก่อนแต่งหน้า

บอดี้ครีม (Body Cream)


เป็นครีมทาตัว ซึ่งจะช่วยให้ผิวหนังดูสดใสขึ้น ให้ความชุ่มชื้นกับผิว ลดการสูญเสียน้ำ หล่อเลี้ยงผิว ทำให้ผิวที่เป็นขุยขาวๆ หายไป บอดี้ครีมใช้ทาหลังอาบน้ำ เช็ดตัวให้แห้งแล้ว ทา ใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน

แฮนครีม (Hand Cream)


เป็นครีมสำหรับทามือ ช่วยให้ผิวบริเวณมือไม่เหี่ยวย่นเพราะมือเป็นส่วนที่สัมผัสกับ ความร้อนและเย็นมากที่สุดการล้างมือทุกครั้งทำให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงผิว มือจะแห้ง หยาบกร้าน แฮนด์ครีม ใช้บำรุงมือโดยทาหลังการล้างมือทุกครั้ง


ครีมต่างๆ ที่กล่าวมานั้น เป็นครีมที่ คุณผู้หญิงส่วนใหญ่รู้จัก และเคยใช้หรือใช้อยู่เป็น ประจำ นอกจากนี้ยังมีครีม อีกหลายชนิด ได้แก่ ครีมขัดหน้า ครีมนวดหน้า ครีมพอกหน้า ครีมลอกหน้า เป็นต้น ครีมเหล่านี้ เราควรมอบหมายให้กับ ช่างแต่งความงามเป็น

ครีมทาหน้าขาว มีกี่ชนิด ทำงานอย่างไร เลือกใช้ยังไง


ครีมทาหน้าขาว มีกี่ชนิด ทำงานอย่างไร เลือกใช้ยังไง

ครีมหน้าขาว (Whitening Cream ) ที่ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะคนไทยเราผิวออกดำแดง บ้างก็ดำเข้ม ส่วนใหญ่จึงอยากให้ผิวดูขาวใสขึ้น แน่ละ คนเรามักชอบอะไรที่แตกต่างจากตัวเอง อย่างฝรั่งชอบผิวคล้ำ ดำ แทน ขณะที่เราชอบผิวขาวสเป็ก “ขาวสวยหมวยตี๋” ปัจจุบันครีมหน้าขาวมีให้เลือกใช้หลายชนิดราคามีตั้งแต่หลักร้อยจนกระปุกเป็นหมื่น สรรพคุณที่ว่า ดีสมราคาหรือไม่การเข้าใจถึงส่วนผสมและกลไกการออกฤทธิ์ต่อผิวจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยทั่วไปสารซึ่งทำให้ผิวขาวขึ้นได้แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ

ชนิดกระตุ้นการหลุดลอกของเซลล์ผิวชั้นนอก กลุ่มนี้ไม่ได้ลดการสร้างเม็ดสีโดยตรง เพียงแต่ลอกเซลล์เก่าซึ่งตายแล้วออกไป ผิวจึงดูขาวขึ้นได้ สมัยก่อนอาจใช้ไวน์ โยเกิร์ต ฝานมะเขือเทศ นำมาพอกหน้าแล้วทำให้ผิวขาวใสขึ้น แท้จริงแล้วในสิ่งเหล่านี้มีกรดผลไม้ซึ่งออกฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวเก่าๆ ให้หลุดออกไปได้ง่ายนั่นเอง เรียกรวมๆ ว่า AHA (Alpha Hydroxy Acids) ซึ่งยังแบ่งเป็นชั้นย่อยๆ ตามแหล่งที่มาอีกด้วย เช่น ไวน์ หรือองุ่นให้กรดทาร์ทาริก (Tartaric) นมเปรี้ยว มะเขือเทศ ให้กรดแลคติก (Lactic) แอ๊ปเปิ้ลให้กรดมาลิก (Malic) ส้ม มะนาว ผลไม้รสเปรี้ยวให้กรดซิตริก (Citric) อ้อยให้กรดไกลโคลิก (Glycolic) ซึ่งแหล่งที่ให้กรดที่ออกฤทธิ์ต่อผิวดีที่สุดได้จากอ้อย


เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมขอกรดผลไม้ที่จำหน่ายในท้องตลาดกฎหมายควบคุมให้มีความเข้มข้นไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ เพราะหากสูงกว่านี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะอาจทำให้เกิดการลอกจนแสบไหม้ได้ ความเข้มข้นสูงจึงถูกนำไปใช้ทำ “AHA Treatment” ทาแล้วล้างออก ไม่ได้ทิ้งไว้ตลอดคืนเหมือนกรดผลไม้ความเข้มข้นต่ำ โดยทำสัปดาห์ละครั้งเพื่อให้มีการหลุดลอกของเซลล์ผิวชั้นนอกเร็วขึ้น แพทย์จะเป็นผู้เลือกความเข้มข้นตามความเหมาะสม ซึ่งมีตั้งแต่ 20-70 เปอร์เซ็นต์


นอกจากนี้มีสารอื่นที่พอหาซื้อได้อีก เช่น BHA (Beta Hydroxy Acids) หรือกรด ซาลิไซลิก (Salicylic Acid) นั่นเอง สมัยก่อนใช้ความเข้มข้นสูงทาบริเวณลำตัวในตำแหน่งผิวหยาบกร้าน หนา หรือหูดที่ไม่ต้องการออกไป ต่อมาได้พัฒนาเป็นครีมทาผิวหน้าโดยใช้ความเข้มข้นต่ำๆ ไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์ เพื่อลอกรอยดำคล้ำ ปัจจุบันผสมอยู่ในเครื่องสำอางหรือครีมหน้าขาวในท้องตลาด


ชนิดยับยั้งการทำงานของเม็ดสี ตามธรรมชาติเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) อยู่ในชั้นล่างสุดของหนังกำพร้า เมื่อได้รับการกระตุ้นจากฮอร์โมนหรือรังสียูวี จากแสงแดด จะทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีเหล่านี้สร้างเม็ดสี (Melanin) เพิ่มขึ้น ผิวจึงดูคล้ำลงโดยอาศัยเอนไซม์ที่เรียกว่าไทโรซิเนส (Tyrosinase) ภายในเซลล์เองไปเปลี่ยนโปรตีนไทโรซิน (Tyrosine) ในเซลล์ ร่วมกับการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ได้เป็นเม็ดสีขึ้นและเม็ดสีที่สร้างขึ้นนี่เองจะคล้ายๆ เคลื่อนตัวขยับขึ้นไปชั้นบน ยิ่งใกล้ผิวชั้นนอกสุดเท่าไรก็จะรู้ว่าส่วนผสมของสารทำให้ผิวขาวที่มีอยู่ในเครื่องสำอางนั้นออกฤทธิ์ในตำแหน่งใด เช่น กรดโคจิก (Kojic Acid), อาร์บูติน (Arbutin), วิตามินซี ( L-ascorbic Acid) วิตามินบี 3 (Niacin) วิตามินซี




ทีมา
http://i-puk.com/beauty/tip10.php

สุดยอดอาหารสร้างความอ่อนเยาว์


สุดยอดอาหารสร้างความอ่อนเยาว์

ผิวหน้าเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับผู้หญิงทุกคนครับ ดังนั้นการดูแลรักษาผิวหน้าให้สวยใสมีสุขภาพดี จึงมีความสำคัญพอๆ กับผิวกายด้วยนะครับ ซึ่งเคล็ดลับการดูแลผิวหน้านั้น นอกจากการล้างหน้าให้สะอาด เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ดี นอนหลับพักผ่อนอย่าเพียงพอแล้ว อาหารก็ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผิวพรรณสวยๆ ของสาวๆ อ่อนเยาว์ลงอีกด้วย สำหรับอาหารที่ทำให้ผิวหน้าสวยใสจะมีอะไรบ้างนั้นเรามาดูกันเลย

1. น้ำสะอาดบริสุทธิ์

เซลล์ผิวหน้านั้นต้องการความชุ่มชื่นเพื่อดำรงความเข็มแข็งอ่อนเยาว์ให้กับผิวหน้าครับ และเป็นการเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับร่างกาย หากอยากมีสุขภาพผิวดี อ่อนเยาว์ สาวๆ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วนะครับ

2. ผักผลไม้

อุดมไปด้วยวิตามิน เอ และซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น มันฝรั่งหวานและแครอท อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนช่วยลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย และต่อสู้กับอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็งร้าย วิตามินซียังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวตึงกระชับและมีเลือดฝาดอย่างเป็นธรรมชาติด้วยนะครับ


3. บลูเบอร์รี

อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและต้านมะเร็ง ซึ่งในบลูเบอร์รีมีสารชื่อว่า สารไฟโตเคมิคอล สารนี้มีคุณสมบัติพิเศษในการลดผลกระทบจากบุหรี่ควันพิษ และสารเคมีรอบด้านซึ่งเป็นการปกป้องผิวพรรณโดยธรรมชาติ


4. จมูกข้าว

อุดมไปด้วยวิตามินบี วิตามินอี ซีลีเนี่ยม ช่วยในการชะลอความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง และเพิ่มประสิทธิภาพครีมบำรุงผิวให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถป้องกันริ้วรอยแห่งวัยได้ด้วยล่ะครับ


5. ปลาแซลมอน

อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 โอเมก้า 6 รวมทั้งมีกรดไขมันและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการดูแลสุขภาพผิว นอกจากนี้ปลาแซลมอนยังเป็นผลดีสำหรับหัวใจ และยังช่วยบำรุงผิวหนัง ผิวแห้ง ช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์สดใส



อาหาร 5 ชนิดนี้จะช่วยให้การดูแลผิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ผิวหน้ามีสุขภาพดี แข็งแรง และทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นด้วย







ขอขอบคุณ Woman’s Story

เคล็ดลับกระชับรูขุมขน

เคล็ดลับกระชับรูขุมขน


เตรียมอุปกรณ์
1. ก้อนน้ำแข็งเย็นเจี๊ยบสักก้อนสองก้อน
2. กระดาษทิชชูเนื้อละเอียด หรือผ้าสะอาด

วิธีทำ
1.ทำความสะอาดผิวหน้าให้เรียบร้อย
2.นำก้อนน้ำแข็งที่เตรียมไว้ไปผ่านน้ำสัก 1-2 วินาที เพื่อให้น้ำแข็งสะอาดและละลายเล็กน้อยจนผิวสัมผัสเรียบขึ้น
3.นำก้อนน้ำแข็งมาห่อด้วยกระดาษทิชชูสัก 3-4 ชั้น หรือผ้าบางๆ สัก 2 ชั้น เพื่อไม่ให้เย็นหน้าจนเกินไป
4.รอให้น้ำแข็งละลายพอชุ่มๆแต่ไม่แฉะ เพราะน้ำจะช่วยหล่อลื่นและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ด้วย
5.นำมาถูบนใบหน้าเบาๆ จากศูนย์กลางหน้าออกไปด้านข้าง โดยเน้นบริเวณทีโซนและแก้มเป็นพิเศษ
-ทำครั้งละประมาณ 1-2 นาที
-ทำอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน คือหลังตื่นกับก่อนนอน
-ทำสัก 3 เดือน แล้วลองสังเกตความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าตัวเองดู

ข้อควรระวัง
- อย่าใช้น้ำแข็งที่ออกมาจากตู้เย็นใหม่ๆ สัมผัสผิวหน้าโดยตรงเด็ดขาด เพราะผิวหน้าที่บอบบางอาจจะปรับตัวไม่ทัน หรือถูกน้ำแข็งดูดจนพอง
- อย่าใช้น้ำแข็งที่สกปรก
- อย่ากดก้อนน้ำแข็งแรงๆ จนบี้ไปกับผิวหน้า เพราะอาจทำให้ผิวเย็นจนเกิดอาการช็อกหรือเป็นรอยได้


ที่มา jeban

5 วิธีปลุกความสดใสแบบเร่งด่วน

5 วิธีปลุกความสดใสแบบเร่งด่วน

ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกอ่อนเพลีย เหี่ยวเฉาจนเกินจะลุกไหว เรามีเคล็ดลับแบบกันเองและแสนง่าย ที่จะช่วยปลุกความสดใสให้คุณตื่นตัว และมีชีวิตชีวาในเวลาแสนจำกัด
คนเมืองอย่างเรานั้นใช้เวลาในแต่ละวันแสนคุ้มค่า หรือจะเรียกได้ว่าเวลา 24 ชั่วโมงนั้นอาจไม่พอด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นล่ะ ยิ่งเราใช้เวลามากเท่าไร ก็เหมือนร่างกายจะยิ่งอ่อนล้ามากเท่านั้น บางวันเราจึงตื่นนอนพร้อมความอ่อนเพลีย และหมดเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรต่ออีก หรือถึงจะลุกจากเตียงไหว แต่ก็รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงไปทั้งวัน

เอาเป็นว่าเกร็ดสุขภาพดีๆ นั้นมีอยู่ สบายอารมณ์จึงขอแนะนำทางลัดแบบเรียบง่าย ที่ลองได้ทำปุ๊บก็ได้ความสดใส ตื่นตัวขึ้นมาได้ปั๊บ แถมยังเป็นไอเดียสบายๆ ที่พกใช้ได้ในทุกๆ วันอีกด้วย เป็นอะไรบ้างนั้นไปดูกัน

1. อาบน้ำอุ่น - เย็น
อาบน้ำอุ่นนั้นดีต่อการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ส่วนน้ำเย็นจะให้ผลตรงกันข้าม นั่นคือการปลุกความสดชื่นตื่นตัวขึ้นมาทันตา การอาบน้ำที่ช่วยปลุกความสดชื่น จึงเป็นการเริ่มต้นน้ำอุ่นแล้วปิดท้ายด้วยน้ำเย็น เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น ลองอาบน้ำด้วยสบู่หรือชาวเวอร์เจลที่ให้กลิ่นแบบซีทรัส หรือกลิ่นส้มๆ เปรี้ยวๆ ที่ยิ่งช่วยกระตุ้นความสดใสได้อีกเท่า

2. สครับผิวกาย
หากมีเวลา การสครับผิวไม่ว่าจะทำด้วยตัวเองหรือไปสปา ก็ช่วยให้เรารู้สึกสดชื่น และได้ผิวสวยๆ ดูสุขภาพดีอีกด้วย หาโอกาสนี้ปลุกความกระปรี้กระเปร่าดูบ้าง แล้วจะพบว่าเนื้อสครับธรรมชาติทั้งหลายนั้น ได้ทั้งกลิ่นหอมๆ และมอบผิวสัมผัสชวนตื่น (แต่นุ่มนวล) กับผิวเราจริงๆ

3. ทานอาหารเช้า
การทานอาหารเช้านั้นดีต่อสุขภาพอย่างที่สุด ที่สำคัญคือเป็นการเติมพลังงานที่ร่างกายเราจะออมใช้ไปทั้งวัน และทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าได้ไม่แพ้การปลุกกระตุ้นใดๆ ขอแนะนำอีกนิดว่า ควรทานให้ได้สารอาหารครบครัน อย่างน้อยๆ ก็มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันเล็กน้อย และมีน้ำผลไม้สดปิดท้ายสักแก้วก็ยิ่งแจ๋ว

4. ยืดเส้นยืดสาย
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้จักวิธีโยคะยามเช้า คุณจะได้เปรียบมากเลยทีเดียว กับการทำสุริยนมัสการสัก 12 รอบ รับรองเลยว่าจะตื่นตัวเต็มที่ และยังเคลื่อนไหวด้วยความคล่องแคล่วไปทั้งวัน หรืออาจทำกายบริหารง่ายๆ สัก 15 นาทีที่เน้นการยืดตัวท่าต่างๆ วิธีนี้ก็ช่วยได้มากเหมือนกัน

5. บีบนวดผ่อนคลาย
ถ้าความอ่อนล้าของคุณคือร่างกายที่ไม่ตอบสนอง ลองใช้กลิ่นบำบัดเป็นตัวช่วย กับการนำน้ำมันหอมระเหยกลิ่นชวนตื่นตัว เช่น ขิง ส้ม มะนาว มานวดผิวกายเบาๆ นอกจากการสัมผัสร่างกายที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อแล้ว กลิ่นดีๆ เหล่านี้ ยังชวนสดใสแค่เพียงเราสูดดมอีกด้วย นับว่าเป็นการใช้ธรรมชาติช่วยที่ได้ผลแบบทันใจทีเดียว


ข้อมูลจาก www.sabai-arom.com

เคล็ดลับการดูแลให้ "นมเด้ง" ตลอดกาล


เคล็ดลับการดูแลให้ "นมเด้ง" ตลอดกาล

- เต้านม-สิ่งที่บ่งบอกความเป็นเพศหญิง ทุกคนย่อมอยากมีหน้าอกที่สวยได้รูป เมื่ออกย้อย คล้อย เสียรูป เสียทรงจึงเป็นปัญหาหนักอกที่สาวน้อย สาวใหญ่ หวั่นวิตก และหันมาใช้ผลิตภัณฑ์นมเด้งที่มีอยู่เกลื่อนตลาด

- อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเลือกผลิตภัณฑ์เหล่านี้ดูแลหน้าอกก็มีเรื่องที่ควรรู้และต้องระมัดระวัง ภายในเต้านมประกอบด้วยส่วนของ


เนื้อเยื่อสร้างน้ำนมและเนื้อเยื่อไขมันวางอยู่บน กล้ามเนื้อทรวงอก ซึ่งจะทำหน้าที่เหนี่ยวรั้งน้ำหนักของเต้านมไว้ให้ตั้งขึ้นและเต่งตึงเสมือนหนึ่งเป็นเสื้อยกทรงธรรมชาติ แต่เมื่อสรีระของร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น มีการเพิ่มหรือลดของน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว หรือหญิงในวัยใกล้หรือในวัยหมดประจำเดือน เต้านมจะหย่อนยานอย่างชัดเจน กลายเป็นปัญหาหนักอกหนักใจของผู้หญิงหลายต่อหลายคน

สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้เต้านมหย่อนยาน เกิดจากหลายๆ ปัจจัย คือ มีการลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก รูปร่างอ้วน มักจะมีไขมันสะสมพอกพูนบริเวณเต้านมมาก เมื่อลดน้ำหนักอย่างฮวบฮาบ โดยอาศัยยาลดน้ำหนัก ทำให้ส่วนที่หายไปก่อนคือไขมันส่วนเกินนั่นเอง ผิวหนังภายนอกที่เคยขยายและอุ้มน้ำหนักเต้านมและไขมันส่วนเกินไว้ก่อนหน้านั้น จึงห้อยและหย่อนยานตามสรีระ เนื่องจากกล้ามเนื้อภายในเต้านมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพิ่มเติม

อีกประการหนึ่งคือ หญิงในวัยใกล้และในวัยหมดประจำเดือน เต้านมจะหย่อนยานตามธรรมชาติ เนื่องจากการลดลงของปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนในกระแสเลือด ฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกผลิตและปลดปล่อยออกจากต่อมเนื้อเยื่อ และอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเข้าสู่กระแสเลือดไปยังเนื้อเยื่อและส่วนต่างๆของร่างกายที่มีสถานีรับ ฮอร์โมนชนิดนี้

หน้าที่สำคัญของเอสโตรเจนคือควบคุมการเจริญเติบโตของเต้านม รังไข่ ช่องคลอดและการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง นอกจากนั้น ยังมีความสำคัญยิ่งต่อการเสริมสร้างเนื้อเยื่อของกระดูก ป้องกันกระดูกพรุนซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเปราะและแตกหัก ของกระดูก

หน้าอกไม่เด้งดังใจ หย่อนยานก่อนวัย ทำอย่างไรดี หากไม่อยากให้นมหย่อนยานก่อนวัย คือ ไม่ควรลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ควรจำกัดอาหารไขมันควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ที่เหมาะสม เช่น การว่ายน้ำ ซึ่งถือเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด วิธีดังกล่าวจะช่วยลดไขมันส่วนเกินพร้อม ๆ กับการกระชับกล้ามเนื้อภายในให้เต่งตึงได้ดี ผิดกับการวิ่งที่กลับจะทำให้หน้าอกหย่อนคล้อยมากขึ้น

สำหรับหญิงวัยทองซึ่งร่างกายมีการผลิตเอสโตรเจนลดน้อยลงตามธรรมชาติ อาจจะเสริมด้วยอาหารที่มี ส่วนผสมของ “ไฟโตเอสโตรเจน” คำว่า “ไฟโต” แปลว่าพืช หมายถึงสารที่มีลักษณะและคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แม้ว่าจะมีประสิทธิผลต่ำกว่าฮอร์โมนถึง 100 – 1,000 เท่าก็ตาม ทั้งนี้ สารไฟโตเอสโตรเจนจะพบมากในถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง เต้าหู้ และสมุนไพรอื่น ๆ เช่น กาวเครือ เป็นต้น

อย่างไรก็ดี จากการวิจัยทางการแพทย์พบว่า การที่ร่างกายได้รับสารไฟโตเอสโตรเจนเข้าไปในร่างกายนั้น มีทั้งข้อดี เช่น สามารถทดแทนฮอร์โมนที่ลดน้อยลงได้และสามารถกระตุ้นให้เต้านมเต่งตึงขึ้น ผิวมีน้ำมีนวลขึ้น อาการหงุดหงิดลดน้อยลง ส่วนข้อเสีย คือ ต้านฤทธิ์ของฮอร์โมนเอสโตรเจนต่อร่างกายลดลง

ส่วนผู้ที่อยู่ในวัยเด็ก หรือวัยรุ่น(วัยเจริญพันธุ์) ไม่สมควรจะรับประทานอาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจนมากเกินไป หรือไม่ควรหาซื้อผลิตภัณฑ์นมเด้งที่มีส่วนผสมของไฟโตเอสโตรเจนมาทาถูนวดที่เต้านม เพราะจะให้ผลในทางตรงกันข้าม ทั้งนี้ หญิงในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตรก็ไม่ควรรับประทานหรือทาถู เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไฟโตเอสโตเจน รวมถึงผู้ที่มีปัญหาโรคทางเต้านมทั้งหลาย ก็ควรจะระวังเช่นกัน

ผลิตภัณฑ์ “นมเด้ง” ได้ผลจริงหรือ ผลิตภัณฑ์นมเด้ง อย่างครีมนมเด้งซึ่งใช้ถูนวดนั้นไม่ต่างอะไรกับ “มอยเจอร์ไรเซอร์” ที่ช่วยให้ผิวแลดูชุ่มชื่นเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้นมเด้ง อย่างที่คาดหวังกันเอาไว้ หรือในกรณีการตบนมที่เคยเป็นข่าวก็ไม่ได้เกิดผลรวดเร็วดังใจ เพราะการตบนมเสมือนการออกำลังกายของเต้านม ที่ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เหมือนเช่นการเดินมากๆ ที่ทำให้น่องโต เป็นต้น ส่วนไหนจุดไหนทำงานมากกล้ามเนื้อก็แข็งแรง กระชับ แต่ก็เสียงต่อการเกิดมะเร็ง เนื่องจากการตบนมจะไปกระตุ้นการเกิดเซลล์ใหม่ๆ ที่อาจผิดปกติ

ส่วนของสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์ที่รับประทานเข้าไป เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญมากมายต่อการเจริญเติบโต ของเนื้อเยื่อส่วนต่างๆของร่างกาย สามารถช่วยเหลือสตรีในวัยทองได้จริงแต่การใช้ครีมคงไม่มีผลอะไรมากนัก ที่พึ่งสุดท้ายจึงเป็นการทำศัลยกรรม ซึ่งต้องถามตัวเองก่อว่า เป็นสิ่งจำเป็นขนาดนั้นหรือไม่

เคล็ด 5 วิธีดูแลอกให้สวยนาน
1. บำรุงด้วยครีม ผิวรอบหน้าอกเป็นผิวที่บอบบาง เกิดความแห้งได้ง่าย เพื่อให้ผิวอกชุ่มชื้นนุ่มนวลอยู่เสมอ ควรบำรุงด้วยครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอลเพื่อป้องกันริ้วรอยย่นยาน สร้างความชุ่มชื้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้แข็งแรง รวมทั้งต้องปกป้องจากแสงแดด แล้วอย่าลืมบริเวณหัวนมด้วยเช่นกัน จึงต้องบำรุงเป็นประจำด้วยครีมที่มอบความชุ่มชื้นสูงอย่างวาสลีนก็ได้

2.เสื้อชั้นในมีโครง การชะลอความหย่อนยานด้วยเสื้อชั้นในแบบมีโครงพยุง สามารถช่วยชะลอความหย่อนยานให้ช้าลงได้ เนื่องจากเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ต่อมน้ำนมและคอลลาเจนจะหดตัวลงแล้วถูกแทนที่ด้วยไขมันมากมายเกิดการหย่อนคล้อยลง ดังนั้นไม่ว่าจะมีหน้าอกแบบไหน เล็กใหญ่ไม่สำคัญ แต่ควรสวมเสื้อชั้นในแบบมีโครงช่วยพยุงอกเอาไว้

3. ครีมกันแดด หน้าอกก็โดนแดดเผาได้เหมือนกัน หากจะเลือกออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ หากไปทะเลหรือต้องออกแดดจัดๆ อย่าลืมทาครีมกันแดดด้วยครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 เป็นอย่างน้อย ที่จะช่วยปกป้องจากรังสียูวีเอและบี ไม่เช่นนั้นหน้าอกจะถูกทำร้ายจากแสงแดดเต็มๆ จนก่อให้เกิดเป็นริ้วรอยก่อนวัยและจุดด่างดำ

4. ท่าทางการนอน ไม่น่าเชื่อว่าท่าทางการนอนก็ส่งผลกับรูปร่างหน้าอก แต่การนอนคว่ำหน้าไม่ได้ทำให้หน้าอกเล็กลงแต่อย่างใด แต่การกดหน้าอกลงบนที่นอนเป็นประจำ จะทำให้หน้าอกผิดรูปผิดร่างไป ท่าการนอนที่ดีคือนอนตะแคง แล้วมีหมอนรองหน้าอกเพื่อช่วยพยุงไว้ขณะหลับ

5.ป้องกันสิว ผิวบนหน้าอกและร่องอกเต็มไปด้วยต่อมไขมัน และมีแนวโน้มที่จะเกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบได้ ยิ่งหน้าอกใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นที่เก็บกักเหงื่อเอาไว้ ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวได้ จึงควรทาแป้งบริเวณใต้และร่องอกเพื่อให้ผิวบริเวณนั้นแห้ง และควรทำความสะอาดเป็นประจำทุกวันด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แล้วตามด้วยโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของซาลิไซลิก แอซิด โดยเฉพาะหลังจากการออกกำลังกาย อย่ากลับบ้านไปพร้อมกับบราที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เพราะจะทำให้เกิดเป็นสิวที่หน้าอกได้

เรียบเรียงและค้นคว้าโดย นพ.จรัสพล รินทระ...........10 June,2005
อ้างอิงจากบทความของ รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล แห่งคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ที่มา
http://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=1&sdata=&col_id=278