วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

โบท็อกซ์ เนรมิตสวยในพริบตา ภัยร้ายของคนไม่ฉลาดใช้

สำหรับคนหนุ่มใหญ่และสาวน้อยลงในยุคนี้ เมื่อถึงเวลาที่ใบหน้าไม่อาจคงความอ่อนโยนอ่อนเยาว์ได้ถาวรก็นิยมไปพึ่งพาการสวยด้วยแพทย์ โบท็อกซ์ เป็น 1 วิธีที่นิยมกันมาก เพราะให้ผลเร็วในเวลาเพียง 10 นาที แถมไม่ต้องเสียเลือดเนื้อขึ้นเขียงลงมีด ปีที่ผ่านมาพบว่ามีคนอเมริกันฉีดโบท็อกซ์กว่า 2,837,346 คน

แต่เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา กลับมีแพทย์คนหนึ่งได้ฉีดสารโบท็อกซ์ซึ่งว่ากันว่าไม่ใช่ของแท้เข้าไปให้กับตัวเองและญาติอีก 3 คน ผลก็คือ ทั้ง 4 คน หมดสติ เป็นอัมพาต เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ความดันตก กระบังลมคลายตัว กล้ามเนื้อทั้งหมดคลายตัว ต้องรักษาตัวอยู่ในห้องฉุกเฉินจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา

เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจาก แพทย์หญิงวิไล ธนสารอักษร ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง โรงพยาบาลสมิติเวช อธิบายว่า "เป็นเพราะแพทย์คนนั้นไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโบท็อกซ์ และใช้ยาโบท็อกซ์เถื่อนฉีดเข้าไปให้กับตัวเองและญาติเพราะมีราคาถูกกว่า ที่สำคัญคือฉีดสารนี้ในปริมาณถึง 300 ยูนิต ทั้งที่จริงแล้วไม่ควรเกิน 100 ยูนิต" อันนี้เป็นสิทธิของคนไข้ เวลาฉีดโบท็อกซ์ควรร้องขอแพทย์ดูว่าใช่โบท็อกซ์ของแท้หรือไม่

โบท็อกซ์ของจริงที่นิยมใช้กันคือ "Botulinum Toxin ชนิดเอ เป็นโปรตีนบริสุทธิ์ที่สกัดจากแบคทีเรียคลอสทริเดียมโบทูลินุม (Clostridium Botulinum) เมื่อครั้งแรกได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยาใช้รักษาอาการตาเขและหนังตากระตุกในคนไข้ที่เกิดปัญหากล้ามเนื้อตาเสื่อม ตั้งแต่ปี 2532 ต่อมาในปี 2543 ได้รับอนุมัติให้รักษาอาการปวดคอหรือศีรษะบิดเกร็ง

ผลจากการรักษาอาการคอกระตุกตากระตุกของผู้ป่วยทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณรอบคอ หนังตา หายไปด้วย นี่จึงเป็นที่มาของการนิยมใช้สารโบท็อกซ์รักษาความสวยงาม และหากคนไข้ต้องการประหยัดเงิน หมอวิไลแนะนำว่า "ยาโบท็อกซ์ 1 ขวดค่าใช้จ่ายราว 15,000-20,000 บาท เมื่อเปิดใช้แล้วควรใช้ให้หมดใน 1 วัน เพราะฉะนั้นคนไข้สามารถรวบรวมสมัครพรรคพวกมาช่วยกันใช้ช่วยกันฉีดได้ จะได้ไม่สิ้นเปลืองเงินทองมาก"

หลังฉีดไปแล้วมีคนไข้บ่นอุบว่า เหมือนคนด้านชา ใบหน้าไม่สามารถแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ใด ๆ ได้ แพทย์หญิงนันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ ผู้ก่อตั้ง Apex Skin Centre แนะให้หายข้องใจว่า "ปกติแพทย์จะฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในชั้นหนังแท้ เฉพาะบริเวณที่คนไข้ต้องการ แต่หลังฉีดไปแล้วคนไข้ต้องขยันใช้กล้ามเนื้อใน 2-3 ชั่วโมงแรก เช่น ยิ้ม ขมวดคิ้ว เลิกคิ้ว จะทำให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น"

นอกจากนี้ ไม่ควรใช้น้ำอุ่นล้างหน้า อบเซาน่า อบไอน้ำ ทำให้ความร้อนสัมผัสผิวโดยตรง และโบท็อกซ์ก็จะสลายเร็วกว่าที่ควร และควรหลีกหนีการนวดหน้า ขยี้คลึงบริเวณที่ฉีด เพราะจะทำให้โบท็อกซ์ไหลกระจายไปนอกบริเวณที่ต้องการได้ ซึ่งฉีด 1 ครั้งจะสดสวยอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน

ขณะเดียวกันสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร คนที่มีปัญหาเรื่องปวดข้อ หรือกำลังทานวิตามินอี ทานแปะก๊วยอยู่นี่ห้ามทำโบท็อกซ์ เพราะฉะนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากหล่ออยากสวย ต้องคิดคำนวณให้รอบคอบ หากเกิดอะไรขึ้นจะหาว่า หล่อไม่เตือน

โบท็อกซ์....ดี หรือ ร้าย

ปัจจุบันนี้โบท็อกซ์ (Botox) กำลังเป็นที่นิยมของคนอเมริกันที่หน้าเหี่ยวและต้องการให้ตึงขึ้น แต่แทนที่จะไปผ่าตัดดึงหน้าแบบเก่า ก็มารับการฉีดยาโบท็อกซ์แทน มีรายงานว่าความนิยมกำลังเพิ่มสูงขึ้นๆ จนเกือบจะถึงขีดสุดแล้ว เพราะกลายเป็นวิธีการรักษาของหมอเสริมสวยที่มีความนิยมมากที่สุด เมื่อปีที่แล้วคนอเมริกันประมาณ 1.6 ล้าคนได้รับการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลบตีนกา และเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ก็มักจะมีคนเอาอย่างไปทั่วโลก เรื่องของโบท็อกซ์ก็คงจะเหมือนกัน

เชื่อหรือไม่ครับว่า ยาโบท็อกซ์ (Botox) ตัวนี้เป็นยาที่ทำมาจากสารพิษที่เรียกว่า Botuilinum Toxin จากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Clostridium botulinum แบคทีเรียตัวนี้เดิมที่เรารู้จักกันว่า เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษในอาหารกระป๋องที่ไม่สะอาด สารพิษที่ผลิตออกมาจากเชื้อตัวนี้ มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการผิดปกติของการทำงานของระบบประสาทและทางเดินอาหารหลายอย่าง และฤทธิ์อย่างหนึ่งที่เขานำมาใช้ฉีดดึงหน้าก็คือ ฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตหย่อนยานลง

แรกเริ่มเดิมทีหมอตาเอายาตัวนี้มาใช้ฉีดรักษาคนไข้ที่กล้ามเนื้อหนังตา (ที่ทำหน้าที่ปิดตา) บีบรัด หรือกระตุก ทำให้เปิดตาไม่ถนัด เมื่อเขาฉีดยาตัวนี้ไปทำให้กล้ามเนื้อนั้นเป็นอัมพาตบางส่วน ทำให้เปิดตาได้ แต่มีหมอตาหัวดีบางคนได้สังเกตเห็นว่าการฉีดโบท็อกซ์รักษาโรคตาอย่างว่านั้นทำให้รอยเหี่ยว รอยตีนการอบตาหายไปด้วย จึงทำให้มีคนนำมาใช้รักษาโรคหน้าเหี่ยว ใช้แล้วติดใจ ทั้งๆ ที่ในขณะนั้น อ.ย.สหรัฐยังไม่อนุมัติให้ใช้ยาตัวนี้ในข้อบ่งใช้อย่างนั้น และเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ อ.ย.สหรัฐได้อนุมัติให้ใช้ยาตัวนี้ ในการรักษารอยเหี่ยวในบางแห่งบางที่ได้แล้ว เมื่อข่าวนี้ถูกประกาศออกไปก็ชักจะเริ่มมีคน โทรหาคลินิกหมอเสริมสวยกันมากขึ้น

ปกติเวลาเราปิดตากล้ามเนื้อรอบตาจะบีบตัว การบีบตัวนี้มีผลข้างเคียงทำให้เกิดรอยย่นใต้เปลือกตา และรอยตีนกาที่ขอบนอกของตา ยาโบท็อกซ์จะไปจับบริเวณรอยต่อของเส้นประสาทกับกล้ามเนื้อ ไปขวางไม่ให้สัญญาณไฟฟ้าที่ส่งจากเส้นประสาทมาบังคับกล้ามเนื้อให้ทำงานได้

แพทย์ที่ใช้ยาตัวนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอพลาสติกก็ได้ แต่ต้องมีความชำนาญพอสมควร คือต้องรู้ว่าฉีดรอบๆ ตา ฉีดตรงไหนบ้าง ฉีดมากน้อยแค่ไหน ถ้าฉีดผิดที่ผิดทาง คนไข้ปฏิบัติตัวผิดจะเกิดปัญหาได้มากเนื่องจากยามีฤทธิ์ทำให้เป็นอัมพาตกล้ามเนื้อนานถึง 3-6 เดือน เขาจะฉีดแค่ 4 จุด จุดละไม่มาก ถ้าฉีดมากไปหรือผิดพลาดไปจะทำให้เกิดความผิดปกติของการเปิดปิดตา หรือถ้าฉีดรอบปากจะทำให้ริมฝีปากอ่อนแรงเป็นผลให้น้ำลายไหลบังคับไม่ได้ ผลข้างเคียงของโบท็อกซ์ตัวนี้คือ จะทำให้คนไข้ไม่สามารถขมวดคิ้ว ยักคิ้ว หรือหลิ่วตา ผลข้างเคียงอย่างว่านี้สำหรับคนทั่วไปคงไม่มีปัญหา แต่สำหรับดาราไม่สามารถแสดงสีหน้าแสดงอารมณ์ทางใบหน้าได้ก็จะเกิดปัญหา เนื่องจากที่ฮอลลีวูดพวกดารานิยมฉีดยาตัวนี้เพื่อลบรอยตีนกากันมาก จึงทำให้ผู้กำกับหนังมีปัญหา

สนนราคาค่าฉีดโบท็อกซ์ลบรอยตีนกานี้ค่อนข้างแพง ขวดหนึ่งฉีดได้ประมาณ 3 คน ต้องจ่ายคนละหลายพันบาท ถ้าซื้อมาขวดหนึ่งจ่ายคนเดียวก็ต้องเสียเงินเป็นหมื่น ส่วนมากตามร้านเสริมสวยเมืองไทย จึงนิยมให้คนไข้ช่วยกันจ่ายค่ายาค่าหมอ เมื่อหมอมีสมาขิกครบ 3-4 คนแล้ว จึงนัดกันมาฉีดพร้อมกันราคาก็จะถูกลง


ท่านผู้บริโภคควรทราบไว้ด้วยว่า ไม่ใช่รอยเหี่ยวย่นทุกชนิดบนใบหน้าจะรักษาด้วยโบท็อกซ์ได้หมด รอยเหี่ยวย่นบางอย่างเกิดจากการที่ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นจากความชราไม่ใช่จากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ในกรณีเสียความยืดหยุ่นนี้การฉีดโบท็อกซ์จะไม่ได้ผล เสียเงินฟรี ดังนี้จะเห็นว่าถ้าหมอที่ทำการฉีดแยกเรื่องนี้ไม่ออก ไม่ชำนาญการ จะทำให้คนไข้เสียเงินเปล่า ไม่หายเหี่ยวแต่ประการใด หมอผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งบอกผมว่า ความเหี่ยวของผิวหนังจากการขาดความยืดหยุ่นเนื่องจากความแก่ เขาใช้สารอย่างอื่นฉีดกำจัดร่องรอยเหี่ยวแทน ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรไปหาแพทย์ให้ถูกจึงจะได้ผลดี

ที่จริงโบท็อกซ์ยังใช้รักษาโรคอย่างอื่นอีก เช่น การรักษาโรคกล้ามเนื้อเกร็งตัวจากโรคระบบประสาท รักษากล้ามเนื้อเกร็งตัวจากการบาดเจ็บ เช่น กล้ามเนื้อที่ทำให้เด็กคอเอียง ปัจจุบันนี้มีหมอเริ่มเอาโบท็อกซ์ มาทดลองใช้ฉีดกล้ามเนื้อหูรูดของทวารหนัก เพื่อรักษาโรคแผลเรื้อรังที่ช่องทวารหนักกันแล้ว เนื่องจากแผลในช่องทวารหนักเกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหูรูดให้ขาดออกจากกันบางส่วน เมื่อมีโบท็อกซ์แล้วการผ่าตัดอาจจะมีความจำเป็นน้อยลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยาโบท็อกซ์ยังแพงมาก การฉีดก้นจึ๊กเดียวเสียเงินเป็นพันเป็นหมื่นบาทคนไข้แผลที่ช่องทวาร ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในโครงการ 30 บาท ก็คงจะสู้ไม่ไหว ยาโบท็อกซ์จึงคงต้องใช้กับคนมีเงินในคลินิกเสริมสวยหรือคลินิกหมอโรคผิวหนัง ส่วนคลินิกหมอโรคทวารหนักคงต้องชิดซ้ายไปก่อนนะครับ


ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 27

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น